ReadyBoost เป็นฟีเจอร์ของ Windows ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์โดยใช้แฟลชไดรฟ์ (USB) หรือเมมโมรี่การ์ดเป็นแคชเสริมแทนฮาร์ดดิสก์
การทำงานของ ReadyBoost จะช่วยลดเวลาในการเข้าถึงไฟล์และเร่งความเร็วการโหลดโปรแกรม เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ที่มี RAM ต่ำ หรือใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน (HDD) ซึ่งมีความเร็วต่ำเมื่อเทียบกับ SSD
โดย ReadyBoost จะช่วยเก็บข้อมูลที่ใช้บ่อยไว้ในอุปกรณ์แฟลชที่มีความเร็วสูง ทำให้ระบบสามารถเรียกใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การใช้งาน ReadyBoost ง่าย ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม เพียงเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่รองรับ ตั้งค่าใช้งาน และระบบจะทำงานอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ไม่มีผลมากนักหากคอมพิวเตอร์ใช้ SSD หรือมี RAM เพียงพอแล้ว
ReadyBoost คืออะไร
ReadyBoost เป็นเทคโนโลยีของ Windows ที่ใช้ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบแฟลช เช่น USB Drive, SD Card หรือ Compact Flash (CF) มาเป็นแคชเสริมให้กับระบบ เพื่อช่วยลดภาระการอ่าน/เขียนข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน (HDD) ซึ่งทำงานช้ากว่าหน่วยความจำแฟลช
หลักการทำงานของ ReadyBoost:
- ใช้พื้นที่ของ USB หรือ SD Card เป็นหน่วยความจำเสมือน (Cache)
- ช่วยให้ Windows โหลดไฟล์และโปรแกรมที่ใช้งานบ่อยได้เร็วขึ้น
- ลดภาระการอ่าน/เขียนข้อมูลจาก HDD
- ทำให้ระบบตอบสนองได้ไวขึ้น โดยเฉพาะในคอมพิวเตอร์ที่มี RAM ต่ำกว่า 4GB
ReadyBoost ช่วยในกรณีไหนบ้าง?
- เครื่องที่ใช้ HDD แบบจานหมุน และมี RAM น้อย
- คอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถอัปเกรด RAM ได้
- ต้องการเพิ่มความเร็วของระบบโดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์
วิธีเปิดใช้งาน ReadyBoost
เตรียมอุปกรณ์ที่รองรับ
- แฟลชไดรฟ์ USB 2.0 ขึ้นไป หรือ SD Card
- ความจุอย่างน้อย 4GB (แนะนำ 8GB ขึ้นไป)
- มีความเร็วอ่าน/เขียนสูง (แนะนำ 5MB/s ขึ้นไป)
เชื่อมต่ออุปกรณ์กับคอมพิวเตอร์
- เสียบ USB Drive หรือ SD Card เข้ากับเครื่อง
ตั้งค่า ReadyBoost
- เปิด File Explorer → คลิกขวาที่ USB Drive → เลือก Properties
- ไปที่แท็บ ReadyBoost → เลือก "Use this device"
- เลือกขนาดพื้นที่ที่ต้องการใช้ (แนะนำ 1-4 เท่าของ RAM)
- กด Apply และ OK
เริ่มใช้งาน
- ReadyBoost จะเริ่มทำงานทันที และ Windows จะใช้แคชจากอุปกรณ์แฟลช
ข้อควรระวัง และข้อจำกัดของ ReadyBoost
ข้อควรระวัง
- ไม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากนักหากใช้ SSD เพราะ SSD มีความเร็วสูงกว่าแฟลชไดรฟ์
- ไม่ช่วยเพิ่มความเร็วของแอปพลิเคชันที่ใช้ CPU หนัก เช่น โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ
- อุปกรณ์ที่ใช้ควรมีอายุการใช้งานที่ดี เพราะการอ่าน/เขียนข้อมูลบ่อยอาจลดอายุของ USB หรือ SD Card
ข้อจำกัดของ ReadyBoost
- Windows 10 และ 11 มีการจัดการหน่วยความจำที่ดีขึ้น ทำให้ ReadyBoost ไม่จำเป็นมาก
- ไม่รองรับแฟลชไดรฟ์ที่มีความเร็วต่ำ (ต่ำกว่า 2.5MB/s)
- ใช้ได้สูงสุด 32GB ต่ออุปกรณ์ และ 256GB สำหรับหลายอุปกรณ์รวมกัน
- ไม่สามารถใช้ได้หากคอมพิวเตอร์มี SSD เป็นตัวบูตหลัก
บทสรุป ReadyBoost เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ HDD และมี RAM น้อย โดยช่วยเร่งความเร็วของระบบผ่านแคชในแฟลชไดรฟ์หรือ SD Card แต่สำหรับเครื่องที่ใช้ SSD หรือมี RAM เพียงพออยู่แล้ว ฟีเจอร์นี้จะไม่มีผลมากนัก หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม การอัปเกรด SSD และ RAM จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า