ธุรกิจขายตรง กับ แชร์ลูกโซ่

Direct Selling
เรื่องต้องรู้ เกี่ยวกับเทคนิคการตลาด !!  

การตลาดเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจใช้ในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า กลยุทธ์การตลาดมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ เช่น การตลาดแบบดิจิทัล การตลาดแบบเน้นเนื้อหา การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย และการตลาดขายตรง 

ซึ่ง การขายตรง เป็นกลยุทธ์ที่ตัวแทนจำหน่ายทำการขายสินค้าโดยตรงให้ผู้บริโภค โดยไม่มีการผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด แต่ขณะเดียวกัน กลยุทธ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่ผิดกฎหมาย เช่น แชร์ลูกโซ่ ที่เน้นการชักชวนให้ผู้อื่นเข้าร่วมโดยไม่มีสินค้าหรือบริการจริง กลับสร้างความเข้าใจผิดและความเสียหายแก่ผู้บริโภค การแยกแยะความแตกต่างระหว่างขายตรงและแชร์ลูกโซ่จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคหลงกลกับธุรกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ

ขายตรง และ แชร์ลูกโซ่ เป็นแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งสองรูปแบบมีลักษณะที่บางคนอาจสับสนได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการชักชวนให้ผู้อื่นเข้าร่วมเครือข่ายธุรกิจ ทั้งนี้รายละเอียดและความแตกต่างมีดังนี้:

ขายตรง (Direct Selling)

  • ขายตรง เป็นรูปแบบธุรกิจที่ผู้ขายสินค้าและบริการจะขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

  • ผู้ขายสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้า และอาจมีค่าตอบแทนเพิ่มเติมหากสามารถชักชวนผู้อื่นมาเป็นตัวแทนขายในเครือข่าย

  • ธุรกิจขายตรงที่ถูกต้องจะเน้นการขายสินค้าที่มีคุณภาพจริง เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือของใช้ต่างๆ โดยธุรกิจมีการจดทะเบียนและดำเนินการตามกฎหมาย

แชร์ลูกโซ่ (Ponzi Scheme)

  • แชร์ลูกโซ่ เป็นการระดมทุนหรือชักชวนให้ผู้อื่นนำเงินมาลงทุนในธุรกิจที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้นๆ แต่ธุรกิจนั้นอาจไม่มีสินค้า บริการ หรือแผนการที่แท้จริง

  • รายได้ในแชร์ลูกโซ่มักจะมาจากการนำเงินของผู้เข้าร่วมรายใหม่มาจ่ายให้ผู้เข้าร่วมรายเก่า และจะต้องหาผู้เข้าร่วมเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

  • แชร์ลูกโซ่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย และมักทำให้ผู้เข้าร่วมเสียเงินเมื่อธุรกิจไม่สามารถหาเงินใหม่มาหมุนเวียนได้

ที่มาของแชร์ลูกโซ่

ธุรกิจแชร์ลูกโซ่มีที่มาจากรูปแบบการระดมทุนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุคหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แนวคิดหลักของแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นจากการนำเงินจากผู้ที่เข้ามาลงทุนใหม่ไปจ่ายให้กับผู้ที่เข้ามาลงทุนก่อนหน้า โดยไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีมูลค่าจริง ๆ การเติบโตของธุรกิจประเภทนี้จึงพึ่งพาการเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจ่ายผลตอบแทนที่สูงมากให้กับผู้ที่เข้าร่วมในระยะเริ่มต้น

ต้นกำเนิดของแชร์ลูกโซ่สามารถย้อนไปถึง "Ponzi Scheme" ที่เริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาในปี 1920 โดย Charles Ponzi ซึ่งสร้างโครงการที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตั๋วไปรษณีย์ระหว่างประเทศ แต่ในความเป็นจริง เขาใช้เงินจากผู้ลงทุนใหม่มาจ่ายให้กับผู้ลงทุนเก่า จนกระทั่งระบบนี้ล้มเหลวเมื่อไม่สามารถดึงดูดผู้ลงทุนใหม่ได้เพียงพอ ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ในยุคปัจจุบันยังคงใช้กลไกที่คล้ายกัน


สรุป ความแตกต่างที่สำคัญของขายตรงกับแชร์ลูกโซ่

  • การเน้นที่สินค้า
    ขายตรงมีการขายสินค้าและบริการจริง ขณะที่แชร์ลูกโซ่มักไม่มีสินค้าหรือบริการจริงเป็นหลัก

  • แหล่งรายได้
    ธุรกิจขายตรง มีการสร้างรายได้จากการขายสินค้าโดยตรง ส่วนธุรกิจแชร์ลูกโซ่ จะใช้เงินจากผู้เข้าร่วมใหม่ เพื่อหมุนเวียนจ่ายผู้เข้าร่วมเก่า ถ้าไม่มีผู้เข้าร่วมใหม่ๆ ระบบก็จะล่ม ตัวอย่างเช่น แชร์ลูกโซ่แม่ชม้อย แชร์ลูกโซ่แม่มณี เป็นต้น

  • ความถูกต้องตามกฎหมาย
    ขายตรงเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ขณะที่แชร์ลูกโซ่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย

"ฝากให้คิด การเสนอผลตอบแทนสูงในเวลาสั้นๆ 

โดยไม่มีแผนธุรกิจชัดเจน 

มักเป็นสัญญาณของความเสี่ยงสูงและแชร์ลูกโซ่ 

ซึ่งตามหลักการแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ในธุรกิจที่ถูกต้อง 

ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง"


บทสรุป การทำธุรกิจขายตรงและการลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ระมัดระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ที่มักเสนอผลตอบแทนสูงในเวลาอันรวดเร็ว ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัท สินค้า และแผนธุรกิจที่ชัดเจน พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ไม่มีสินค้าและบริการจริง เพราะแชร์ลูกโซ่สามารถทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ การแยกแยะระหว่างธุรกิจที่ถูกต้องกับธุรกิจที่เป็นการหลอกลวงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงและความเสียหาย

ธุรกิจที่มีความใกล้เคียงกัน  MLM

#ธุรกิจขายตรง #แชร์ลูกโซ่