10 หัวข้อความปลอดภัยบน iPhone

Mobile Security
ในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา การใช้งานสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone จึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร, การทำงาน, การจัดการทางการเงิน หรือแม้แต่การบันเทิง 

การปกป้องข้อมูลส่วนตัวและรักษาความปลอดภัยของ iPhone จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากภัยคุกคามทางไซเบอร์และการสูญเสียข้อมูลที่สำคัญ บทความนี้ ขอเชิญมาตรวจสอบความปลอดภัย iPhone ของคุณว่า ผ่านเกณฑ์หรือไม ด้วย 10 หัวข้อความปลอดภัยของ iPhone

10 หัวข้อที่ทำให้ iPhone ปลอดภัย

1. ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรง
  • รายละเอียด: รหัสผ่านที่แข็งแรงควรมีความยาวอย่างน้อย 6-8 ตัวอักษร ประกอบด้วยตัวอักษรใหญ่ (A-Z) ตัวอักษรเล็ก (a-z) ตัวเลข (0-9) และสัญลักษณ์พิเศษ (!, @, #, $, ฯลฯ) เพื่อเพิ่มความซับซ้อนและยากต่อการคาดเดา
  • ตัวอย่าง: “P@ssw0rd123!”

2. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication)
  • รายละเอียด: การยืนยันตัวตนสองขั้นตอนเป็นวิธีที่เพิ่มความปลอดภัยโดยการต้องใช้รหัสผ่านที่สองนอกเหนือจากรหัสผ่านหลักในการเข้าสู่ระบบ โดยมักจะส่งรหัสยืนยันไปยังโทรศัพท์มือถือหรืออีเมลของคุณ
  • ตัวอย่าง: เมื่อคุณเข้าสู่ระบบ Apple ID จากอุปกรณ์ใหม่ คุณจะต้องใส่รหัสผ่าน Apple ID และรหัสยืนยันที่ส่งไปยัง iPhone ของคุณ

3. อัปเดตซอฟต์แวร์
  • รายละเอียด: การอัปเดต iOS และแอปพลิเคชันเป็นเวอร์ชันล่าสุดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจถูกโจมตี
  • ตัวอย่าง: การอัปเดต iOS จากเวอร์ชัน 16.4 เป็น 16.5 เพื่อรับการปรับปรุงความปลอดภัยและฟีเจอร์ใหม่

4. ใช้ Face ID หรือ Touch ID
  • รายละเอียด: Face ID และ Touch ID เป็นเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนที่ใช้ลักษณะทางกายภาพ (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการปลดล็อค iPhone และยืนยันการทำธุรกรรม
  • ตัวอย่าง: ใช้ Face ID เพื่อปลดล็อค iPhone หรือยืนยันการชำระเงินผ่าน Apple Pay

5. ตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  • รายละเอียด: การตรวจสอบและปรับแต่งการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวช่วยให้คุณควบคุมแอปพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น ตำแหน่ง, รูปภาพ, รายชื่อติดต่อ
  • ตัวอย่าง: ปิดการเข้าถึงตำแหน่งสำหรับแอปที่ไม่ต้องการ เช่น แอปเกมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตำแหน่ง

6. ปิด Bluetooth และ Wi-Fi เมื่อไม่ใช้งาน
  • รายละเอียด: การปิด Bluetooth และ Wi-Fi เมื่อไม่ใช้งานช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สาย เช่น การดักจับข้อมูลหรือการเชื่อมต่อที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • ตัวอย่าง: ปิด Wi-Fi เมื่อออกจากบ้านและไม่ต้องการใช้งานเครือข่ายไร้สาย

7. ไม่เปิดไฟล์แนบหรือคลิกลิงก์จากอีเมลหรือข้อความที่ไม่รู้จัก
  • รายละเอียด: การระวังการเปิดไฟล์แนบหรือคลิกลิงก์ที่มาจากแหล่งที่ไม่รู้จักช่วยป้องกันการติดมัลแวร์หรือการหลอกลวง (phishing)
  • ตัวอย่าง: หากได้รับอีเมลที่มีไฟล์แนบจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก อย่าเปิดไฟล์แนบและลบอีเมลนั้นทันที

8. ใช้ VPN เมื่อใช้งาน Wi-Fi สาธารณะ
  • รายละเอียด: การใช้ VPN (Virtual Private Network) เมื่อใช้งาน Wi-Fi สาธารณะช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณ ป้องกันการดักจับข้อมูลส่วนตัว
  • ตัวอย่าง: ใช้บริการ VPN เช่น NordVPN หรือ ExpressVPN เมื่อเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ในร้านกาแฟหรือสนามบิน

9. ตั้งค่า Find My iPhone

รายละเอียด: การเปิดใช้งาน Find My iPhone ช่วยให้คุณสามารถติดตามตำแหน่ง iPhone ของคุณได้ในกรณีที่หายหรือถูกขโมย และสามารถลบข้อมูลจากระยะไกลเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
ตัวอย่าง: หาก iPhone ของคุณหาย คุณสามารถเข้าสู่ iCloud.com และใช้ Find My iPhone เพื่อติดตามตำแหน่งและลบข้อมูลจากระยะไกล


10. ใช้แอปพลิเคชันความปลอดภัยเพิ่มเติม
  • รายละเอียด: การติดตั้งแอปพลิเคชันความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น แอปพลิเคชันจัดการรหัสผ่านหรือแอปสแกนมัลแวร์ ช่วยเสริมความปลอดภัยและป้องกันภัยคุกคาม
  • ตัวอย่าง: ใช้แอปพลิเคชัน LastPass เพื่อจัดการรหัสผ่านอย่างปลอดภัย หรือใช้แอป Norton Mobile Security เพื่อสแกนและป้องกันมัลแวร์

เพียงแค่ปฏิบัติตามรายละเอียดข้างต้นเหล่านี้ จะสามารถช่วยให้คุณใช้ iPhone ได้อย่างปลอดภัยเพิ่มขึ้น และมั่นใจในความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่เชื่อก็ลองไปทำตามกันดูนะครับ