- สิ่งที่คุณรู้ (เช่น รหัสผ่าน หรือ PIN)
- สิ่งที่คุณมี (เช่น โทรศัพท์มือถือที่ใช้รับรหัส OTP หรือ อุปกรณ์ยืนยันตัวตนอื่น ๆ)
- สิ่งที่คุณเป็น (เช่น ลายนิ้วมือหรือการสแกนใบหน้า) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า 2FA+ หรือ MFA (Multi-Factor Authentication)
ความสำคัญของ 2FA
- เพิ่มความปลอดภัย
การใช้เพียงรหัสผ่านอย่างเดียวไม่เพียงพอในปัจจุบันเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการถูกขโมยหรือเจาะเข้าไปได้ง่าย การเพิ่มปัจจัยที่สองทำให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบได้ยากขึ้นแม้ว่าจะมีรหัสผ่านก็ตาม - ป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิง
แม้ว่าผู้โจมตีจะสามารถหลอกลวงเพื่อขโมยรหัสผ่าน แต่การมี 2FA จะทำให้ต้องมีปัจจัยที่สองที่โจมตีได้ยากขึ้น - ลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล
ในกรณีที่ข้อมูลรหัสผ่านรั่วไหล การมี 2FA จะช่วยลดความเสี่ยงที่ข้อมูลสำคัญจะถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
ควรใช้ 2FA ในที่ใดบ้าง
- บัญชีอีเมล
เช่น Gmail, Outlook เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและการโจมตีที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานบริการอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับอีเมล - บัญชีธนาคารและการเงิน
โดยเฉพาะบัตรเครดิต เพื่อปกป้องข้อมูลการเงินและป้องกันการทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต - บัญชีโซเชียลมีเดีย
เช่น Facebook, Twitter, Instagram เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและการเผยแพร่ข้อมูลไม่เหมาะสม - บริการคลาวด์และการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์
เช่น Google Drive, Dropbox เพื่อป้องกันการเข้าถึงและการขโมยข้อมูลสำคัญ - ระบบองค์กรและงานสำคัญ
เช่น VPN, แอปพลิเคชันทางธุรกิจ เพื่อปกป้องข้อมูลที่สำคัญขององค์กร
การใช้ 2FA เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัญชีและข้อมูลของคุณ การตั้งค่าการยืนยันตัวตนแบบสองปัจจัยในบริการที่รองรับจึงเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ การใช้บริการ 2FA ส่วนใหญ่ให้บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย