ภัยไซเบอร์คืออะไร

Cyber World

ภัยไซเบอร์ (Cyber Threats) หมายถึง การโจมตีหรือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อประสงค์ร้ายต่อระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรือข้อมูล เพื่อเข้าถึง ขโมย หรือทำลายข้อมูล หรือทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ 

ภัยไซเบอร์มีหลายรูปแบบและมีความซับซ้อนมากขึ้นตามเทคโนโลยีที่พัฒนาไป ตัวอย่างภัยไซเบอร์ที่พบได้บ่อยมีดังนี้:

ประเภทของภัยไซเบอร์

  • มัลแวร์ (Malware)
    โปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อแทรกซึมและทำลายระบบคอมพิวเตอร์ เช่น ไวรัส หนอนคอมพิวเตอร์ และโทรจัน

  • แรนซัมแวร์ (Ransomware)
    มัลแวร์ที่เข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อและเรียกค่าไถ่เพื่อให้เหยื่อสามารถกู้คืนข้อมูล

  • ฟิชชิง (Phishing)
    การหลอกลวงทางอีเมลหรือเว็บไซต์ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลการเงิน

  • การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service)
    การส่งคำขอปริมาณมากไปยังเซิร์ฟเวอร์หรือเครือข่ายเป้าหมายเพื่อทำให้บริการไม่สามารถทำงานได้

  • การแฮก (Hacking)
    การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต


แนวการป้องกันภัยไซเบอร์

1. การใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์
  • เลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง
  • ตั้งค่าให้ซอฟต์แวร์ทำการสแกนอัตโนมัติและอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างต่อเนื่อง
  • ใช้เครื่องมือเพิ่มเติมเช่น Anti-Spyware และ Anti-Adware เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัย

2. ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรง
  • รหัสผ่านควรประกอบด้วยอักษรตัวใหญ่และตัวเล็ก, ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิด หรือชื่อสมาชิกในครอบครัวเป็นรหัสผ่าน
  • ใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่าน (Password Manager) เพื่อจัดเก็บและจัดการรหัสผ่านหลายๆ บัญชีอย่างปลอดภัย

3. อัปเดตซอฟต์แวร์
  • ใช้การอัปเดตอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงจากการลืมอัปเดต
  • ตรวจสอบและติดตั้งแพตช์ความปลอดภัย (Security Patches) ที่ปล่อยมาโดยผู้พัฒนาอย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้ระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันที่ยังคงได้รับการสนับสนุนจากผู้พัฒนา

4. ระมัดระวังอีเมลและลิงก์ปลอม
  • อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบในอีเมลที่มาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์อย่างละเอียดก่อนกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือการเงิน
  • ใช้ฟิลเตอร์สแปมและโปรแกรมป้องกันฟิชชิงเพื่อช่วยกรองอีเมลปลอม

5. ใช้ระบบการตรวจสอบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication)
  • เปิดใช้ 2FA สำหรับบริการที่รองรับ เช่น อีเมล, บัญชีธนาคาร, และโซเชียลมีเดีย
  • เลือกใช้แอปพลิเคชันยืนยันตัวตน (Authenticator App) แทนการรับรหัสผ่านทาง SMS ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า
  • เก็บข้อมูลสำรองของ 2FA ไว้ในที่ปลอดภัยเผื่อในกรณีที่อุปกรณ์หลักสูญหาย

6. สำรองข้อมูลเป็นประจำ
  • สำรองข้อมูลไปยังสถานที่จัดเก็บที่แตกต่างกัน เช่น คลาวด์, ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, หรือเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่นอกสถานที่
  • ตั้งค่าสำรองข้อมูลอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงจากการลืมสำรอง
  • ตรวจสอบและทดสอบการกู้คืนข้อมูลเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำรองสามารถใช้ได้จริงเมื่อจำเป็น


เทคนิคเพิ่มเติมในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

1. การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption)
  • เข้ารหัสข้อมูลสำคัญทั้งขณะส่งและขณะเก็บเพื่อป้องกันการถูกดักฟังหรือขโมยข้อมูล
  • ใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสที่มีมาตรฐาน เช่น HTTPS, TLS, และ VPN

2. การควบคุมการเข้าถึง (Access Control)
  • กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและระบบให้กับพนักงานตามหน้าที่และความจำเป็น
  • ใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนที่แข็งแรง เช่น การสแกนลายนิ้วมือหรือการรู้จำใบหน้า

3. การอบรมและการเพิ่มพูนความรู้
  • จัดการอบรมให้กับพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์และวิธีการป้องกันภัยต่างๆ
  • สร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนด

4. การตรวจสอบและติดตาม (Monitoring and Logging)
  • ติดตามกิจกรรมในระบบและเครือข่ายเพื่อระบุพฤติกรรมที่ผิดปกติหรือการพยายามโจมตี
  • ใช้ระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนภัย (Intrusion Detection System - IDS) เพื่อรับรู้ถึงภัยคุกคามในเวลาเรียลไทม์

บทสรุป การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นกระบวนการที่ต้องการความต่อเนื่องและการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

#AntiVirus #Malware #Safety #Security