This Week's/Trending Posts

Hand-Picked/Curated Posts

Most Popular/Fun & Sports

I am Ai.

I am Ai

Hand-Picked/Weekly News

The Most/Recent Articles

โอนไฟล์ผ่านเครือข่ายไร้สาย ใครๆก็ทำได้

File Transfer

การโอนไฟล์ผ่านเครือข่ายไร้สาย: สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว

การโอนไฟล์ผ่านเครือข่ายไร้สายเป็นวิธีที่ทันสมัยและสะดวกสบายสำหรับการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ โดย ไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตหรือสายเชื่อมต่อใด ๆ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์ไฟล์ เช่น รูปภาพ เอกสาร วิดีโอ หรือไฟล์เสียง ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยภายในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน 

หนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์การโอนข้อมูลแบบไร้สายคือ "LocalSend" ซึ่งเป็น แอปพลิเคชันโอเพนซอร์ซ ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย รองรับอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ต 

นอกจากจะช่วยลดความยุ่งยากแล้ว LocalSend ยังให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากไฟล์จะไม่ถูกอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก การโอนไฟล์แบบนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในสำนักงาน บ้าน หรือสภาพแวดล้อมที่มีเครือข่ายท้องถิ่นเป็นหลัก


LocalSend คืออะไร?  

LocalSend File Transfer
LocalSend เป็นแอปพลิเคชันโอเพนซอร์ซที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก รองรับไฟล์หลากหลายรูปแบบ เช่น เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์เสียง แอปนี้มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่าย ความปลอดภัย และการประหยัดเวลา เหมาะสำหรับการส่งไฟล์ในสภาพแวดล้อมที่มีเครือข่ายท้องถิ่น เช่น ที่ทำงาน บ้าน หรือโรงเรียน  


ประโยชน์ของ LocalSend  

1. ความสะดวกและรวดเร็ว  
  • แชร์ไฟล์ได้ทันทีในเครือข่ายเดียวกันโดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ซับซ้อน  

2. ปลอดภัย  
  • ไม่มีการอัปโหลดไฟล์ขึ้นเซิร์ฟเวอร์ จึงลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูล  

3. ประหยัดทรัพยากร  
  • ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต จึงช่วยลดการใช้ข้อมูลมือถือหรือทรัพยากรระบบ  

4. รองรับหลากหลายอุปกรณ์  
  • ใช้งานได้ทั้ง Windows, macOS, Linux, iOS และ Android  

5. โอเพนซอร์ซ  
  • โค้ดมีความโปร่งใส นักพัฒนาสามารถตรวจสอบหรือปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการ  


วิธีการใช้งาน LocalSend  

1. ติดตั้งแอปพลิเคชัน  
  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง LocalSend จากเว็บไซต์ทางการ [LocalSend](https://localsend.org) หรือ App Store/Google Play  

2. เชื่อมต่ออุปกรณ์ในเครือข่ายเดียวกัน  
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทุกเครื่องที่ต้องการแชร์ไฟล์เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกัน  

3. เปิดแอปและเลือกไฟล์ที่ต้องการส่ง  
  • เปิด LocalSend และเลือกไฟล์ที่ต้องการแชร์  

4. ค้นหาอุปกรณ์ปลายทาง  
  • แอปจะค้นหาอุปกรณ์อื่น ๆ ในเครือข่ายโดยอัตโนมัติ หรือสามารถป้อนรหัส PIN เพื่อเชื่อมต่อ  

5. ยืนยันการรับไฟล์  
  • ผู้รับต้องอนุมัติการรับไฟล์เพื่อเริ่มการถ่ายโอน  

6. เสร็จสิ้น  
  • เมื่อการโอนสำเร็จ ไฟล์จะปรากฏในอุปกรณ์ปลายทาง  


ข้อควรทราบ  
  • วิธีการตั้งชื่อ ให้คลิก Settings ->Device Name (Network) จากนั้นกดปุ่ม Refresh ในหัวข้อ Server
  • ตั้ง Folder ที่จัดเก็บบนคอมพิวเตอร์ ให้คลิกเข้าไปที่ Settings -> Save to folder (Receive)
  • หากไม่พบอุปกรณ์ในเครือข่าย ให้ตรวจสอบการตั้งค่าไฟร์วอลล์หรืออนุญาตให้แอปเข้าถึงเครือข่าย  
  • แอปเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่เดียวกัน ไม่รองรับการส่งไฟล์ผ่านอินเทอร์เน็ต  

บทสรุป โปรแกรมหรือแอป LocalSend เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการแชร์ไฟล์ในเครือข่ายที่ต้องการความปลอดภัยและความรวดเร็วในระดับท้องถิ่น แถมรองรับการโอนย้ายไฟล์ขนาดใหญ่ได้อีกด้วย

#FileTransfer #Network #WiFi #LocalSend

รู้จัก Telegram ใน 5 นาที

Telegram logo
Telegram App คืออะไร?

Telegram เป็นแอปพลิเคชันการส่งข้อความที่เน้นความปลอดภัยและการสื่อสารที่รวดเร็ว รองรับการส่งข้อความเสียง, วิดีโอ, และไฟล์ต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต Telegram พัฒนาโดย Pavel Durov และพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 โดยมีการเน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยสูง มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างกลุ่ม, ช่อง, หรือบอทได้อย่างสะดวกสบาย


ประโยชน์ของ Telegram

  • ความปลอดภัยสูง: Telegram ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ในการสนทนาส่วนตัว และมีฟีเจอร์การเข้ารหัสลับในการสนทนาแบบ Secret Chat ทำให้การใช้งาน Telegram มีความปลอดภัยสูงมาก
  • การส่งไฟล์ขนาดใหญ่: Telegram รองรับการส่งไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 2 GB
  • การสร้างกลุ่มและช่อง: ผู้ใช้สามารถสร้างกลุ่มสนทนาหรือช่องสาธารณะเพื่อแบ่งปันข้อมูล
  • ฟีเจอร์บอท: ผู้ใช้สามารถสร้างและใช้งานบอทที่สามารถทำงานต่างๆ เช่น การตอบคำถาม, ส่งข่าวสาร, หรือช่วยในการทำธุรกิจ
  • การใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม: Telegram รองรับการใช้งานทั้งบนมือถือ, แท็บเล็ต, และคอมพิวเตอร์

วิธีใช้งาน Telegram

1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง Telegram

บนมือถือ: 
  • Android: ดาวน์โหลดจาก Google Play Store โดยค้นหาคำว่า "Telegram" และกดติดตั้ง
  • iOS: ดาวน์โหลดจาก Apple App Store โดยค้นหาคำว่า "Telegram" แล้วกดติดตั้ง
บนคอมพิวเตอร์:
  • สามารถดาวน์โหลด Telegram Desktop ได้ที่เว็บไซต์ทางการของ Telegram (https://desktop.telegram.org/) สำหรับการใช้งานบน Windows, macOS, หรือ Linux

2. ลงทะเบียนบัญชี Telegram
  • เปิดแอป Telegram ขึ้นมา
  • เลือก Start Messaging หรือ เริ่มการส่งข้อความ
  • ระบบจะขอให้คุณกรอก หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ของคุณ
  • ใส่หมายเลขโทรศัพท์ที่คุณใช้งานและคลิก Next
  • รอรับรหัส OTP (One-Time Password) ที่จะส่งไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่คุณกรอก
  • กรอกรหัส OTP ที่ได้รับเพื่อยืนยันตัวตน

3. การตั้งค่าบัญชีผู้ใช้
  • หลังจากการลงทะเบียนเสร็จสิ้น คุณสามารถตั้งชื่อผู้ใช้และเพิ่มภาพโปรไฟล์ได้
  • Telegram จะใช้ ชื่อผู้ใช้ (Username) เพื่อให้คนอื่นสามารถค้นหาคุณและติดต่อคุณได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เบอร์โทรศัพท์

4. การเริ่มการสนทนา
 
การส่งข้อความส่วนตัว:
  • ไปที่หน้าหลักของ Telegram แล้วกดที่ ไอคอนข้อความ (ที่มุมล่างขวาของหน้าจอ)
  • ค้นหาผู้ติดต่อที่คุณต้องการส่งข้อความหาหรือเลือกจากรายชื่อที่แสดง
  • เริ่มพิมพ์ข้อความหรือส่งไฟล์ต่างๆ ได้ทันที
การส่งข้อความเสียง: 
  • เมื่ออยู่ในหน้าต่างแชท ให้กด ไมโครโฟน แล้วพูดเพื่อบันทึกข้อความเสียง
 การส่งไฟล์: 
  • คลิกที่ ไอคอนคลิป เพื่อแนบไฟล์ต่างๆ เช่น ภาพ, วิดีโอ, เอกสาร หรือไฟล์อื่นๆ

5. การสร้างกลุ่มและช่อง
 
สร้างกลุ่ม:
  • ไปที่หน้าหลักแล้วกดที่ เมนู (สามขีดที่มุมซ้ายบน) แล้วเลือก New Group (กลุ่มใหม่)
  • เลือกผู้ติดต่อที่ต้องการเพิ่มในกลุ่ม แล้วตั้งชื่อกลุ่ม
  • หลังจากนั้นคุณสามารถเริ่มแชทและแชร์ข้อมูลกับสมาชิกในกลุ่มได้
สร้างช่อง (Channel):
  • คล้ายกับการสร้างกลุ่ม แต่ช่องจะเน้นที่การส่งข้อมูลจากเจ้าของช่องไปยังผู้ติดตาม โดยไม่สามารถสนทนาโต้ตอบได้
  • ไปที่ New Channel (ช่องใหม่) แล้วตั้งชื่อและคำอธิบายช่อง
  • คุณสามารถเลือกทำให้ช่อง Public หรือ Private ขึ้นอยู่กับการเข้าถึง

6. ฟีเจอร์บอท
  • บอท คือโปรแกรมอัตโนมัติที่สามารถทำงานต่างๆ ให้คุณ เช่น การตอบคำถาม, ส่งข่าวสาร, หรือแม้กระทั่งช่วยจัดการการจอง
  • คุณสามารถค้นหาบอทได้จากการค้นหาผ่านแถบค้นหา หรือเพิ่มบอทโดยใช้คำสั่ง `@botname` ในช่องแชท

7. การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  • คุณสามารถปรับตั้งค่าความเป็นส่วนตัว เช่น ใครสามารถเห็นหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ, ใครสามารถติดต่อคุณได้, หรือใครสามารถดูสถานะของคุณ
  • เข้าไปที่ Settings > Privacy and Security และปรับการตั้งค่าตามต้องการ

8. การใช้งานบนหลายอุปกรณ์
  • Telegram รองรับการใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างดี คุณสามารถเริ่มการสนทนาบนมือถือแล้วต่อเนื่องไปยังคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตได้ทันที
  • ทุกข้อความจะซิงค์ระหว่างอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ

9. การใช้ Telegram ผ่าน Web
  • คุณยังสามารถใช้ Telegram ผ่าน Telegram Web ที่เว็บไซต์ [web.telegram.org](https://web.telegram.org) เพียงแค่เข้าสู่ระบบด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ

10. ฟีเจอร์เพิ่มเติม
  • การตั้งเวลาหมดอายุของข้อความ: คุณสามารถตั้งเวลาให้ข้อความที่ส่งหมดอายุอัตโนมัติหลังจากเวลาที่กำหนด (เหมาะสำหรับการแชทที่มีความเป็นส่วนตัวสูง)
  • การใช้งานในโหมด Secret Chat: สำหรับการสนทนาที่ปลอดภัยที่สุด Telegram มีโหมด Secret Chat ที่ใช้การเข้ารหัสลับแบบ End-to-End และไม่สามารถถูกบันทึกหรือถ่ายภาพหน้าจอได้

11. การค้นหาผ่านช่องและกลุ่ม
  • คุณสามารถค้นหากลุ่มหรือช่องต่างๆ โดยการค้นหาผ่านคำค้นหาที่เกี่ยวข้องหรือใช้แฮชแท็ก
  • Telegram ยังรองรับการค้นหาข้อความที่ส่งในแชทย้อนหลังได้อย่างรวดเร็ว

การใช้งาน Telegram นั้นมีความหลากหลายและง่ายดาย สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้งในด้านการสื่อสารส่วนตัวและในเชิงธุรกิจ

9 วิธีตรวจสอบ iPhone แท้หรือปลอม

Check iMEI
ตรวจสอบสักนิด เพื่อกันถูกหลอก!!  

การซื้อ iPhone มือสองเป็นทางเลือกที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็มีความเสี่ยงในการได้รับสินค้าปลอม หรือเครื่องที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า iPhone ที่ซื้อมานั้น แท้หรือปลอม?

ดังนั้นการตรวจสอบว่า iPhone มือสองเป็นของแท้หรือไม่จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องมือสองใดๆ ผู้ซื้อควรตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นอย่างละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบหมายเลขซีเรียล (Serial Number) หรือ IMEI 

นอกจากนี้ การทดสอบฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Face ID หรือ Touch ID รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพของวัสดุและการประกอบเครื่อง การทำความเข้าใจวิธีการตรวจสอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone มือสองที่เป็นของแท้ได้อย่างมั่นใจ และป้องกันการโดนหลอกลวงจากผู้ขายที่ไม่ซื่อสัตย์


ขั้นตอนการตรวจสอบ iPhone แท้หรือไม่

1. ตรวจสอบหมายเลขซีเรียล (Serial Number) และ IMEI

หมายเลขซีเรียล (Serial Number) และ IMEI เป็นข้อมูลที่สามารถใช้ตรวจสอบสถานะและรายละเอียดของเครื่องได้จาก Apple
  • ไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > เกี่ยวกับ เพื่อดูหมายเลขซีเรียลและ IMEI ของเครื่อง
  • คัดลอกหมายเลขซีเรียลหรือ IMEI และไปที่เว็บไซต์ Apple Check Coverage 
  • กรอกหมายเลขซีเรียลหรือ IMEI ในช่องที่กำหนดเพื่อดูข้อมูลการรับประกันและสถานะของเครื่องนั้นๆ ซึ่งจะบอกคุณได้ว่าเครื่องนี้เป็นของแท้หรือไม่
ถ้าเว็บไซต์แสดงข้อมูลเกี่ยวกับการรับประกันและบริการซ่อมจาก Apple แสดงว่าเครื่องนั้นเป็นของแท้

2. ตรวจสอบสัญลักษณ์ Apple และโลโก้
  • โลโก้ Apple บน iPhone ของแท้จะมีคุณภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดที่สมบูรณ์
  • ถ้าโลโก้เบลอหรือมีลักษณะผิดปกติ เช่น ขอบไม่ชัดเจนหรือมีลวดลายผิดไปจากปกติ อาจเป็นสัญญาณของเครื่องปลอม
  • บางรุ่นของ iPhone เช่น iPhone 8 หรือรุ่นที่เก่ากว่า อาจมีการพิมพ์โลโก้ Apple แบบต่างกันเล็กน้อย

 3. ตรวจสอบคุณภาพของวัสดุและการประกอบ
  • วัสดุ: iPhone ของแท้จะใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง เช่น แก้วหน้าจอที่แข็งแรง และวัสดุโลหะที่แข็งแรง ไม่มีรอยต่อหรือการเย็บที่ไม่เรียบร้อย
  • การประกอบ: ตรวจสอบว่าเครื่องประกอบได้ดีหรือไม่ ไม่มีรอยต่อที่ไม่สมบูรณ์หรือฟิตไม่ดี
  • น้ำหนัก: iPhone ของแท้จะมีน้ำหนักที่เหมาะสมกับรุ่น ไม่เบาหรือหนักเกินไปเมื่อเทียบกับรุ่นเดียวกัน

 4. ตรวจสอบหน้าจอและระบบสัมผัส (Touchscreen)
  • หน้าจอของ iPhone แท้จะมีความละเอียดสูงและมีสีที่สมจริง
  • ตรวจสอบการตอบสนองของ หน้าจอสัมผัส (Touchscreen) ด้วยการแตะจุดต่างๆ บนหน้าจอ ว่ามีการตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำ
  • ถ้ามีการตอบสนองที่ช้าหรือไม่แม่นยำ อาจเป็นเครื่องที่ไม่ใช่ของแท้

 5. ทดสอบฟีเจอร์ Face ID / Touch ID
 
ถ้าเครื่องเป็นรุ่นที่รองรับ Face ID หรือ Touch ID ให้ลองทดสอบฟีเจอร์เหล่านี้เพื่อดูว่าใช้งานได้หรือไม่
  • ถ้า iPhone มี Face ID ลองตั้งค่าการจดจำใบหน้าและทดสอบการปลดล็อคหน้าจอ
  • ถ้ามี Touch ID ลองตั้งค่าลายนิ้วมือและทดสอบการปลดล็อค
การทำงานที่ปกติของฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยยืนยันว่าเครื่องมีการทำงานตามมาตรฐานของ Apple

6. ตรวจสอบซอฟต์แวร์และการตั้งค่า
  • เข้าไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > อัปเดตซอฟต์แวร์ เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องนั้นสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์ได้หรือไม่
  • iPhone ของแท้ควรสามารถอัปเดต iOS ได้ตามปกติ หากเครื่องไม่สามารถอัปเดตซอฟต์แวร์ได้หรือใช้เวอร์ชันที่เก่ากว่ามาก อาจหมายความว่าเป็นเครื่องปลอมหรือเครื่องที่ถูกดัดแปลง

7. ตรวจสอบข้อมูลผ่าน Apple Support
  • หากคุณยังไม่มั่นใจ สามารถติดต่อ Apple Support โดยตรงเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องที่คุณสนใจ
  • คุณสามารถใช้หมายเลขซีเรียลหรือ IMEI เพื่อตรวจสอบประวัติและสถานะของเครื่องจาก Apple
  • Apple Support จะสามารถบอกคุณได้ว่าเครื่องนี้เคยได้รับการซ่อมแซมหรือมีปัญหาหรือไม่

 8. เช็คการรับประกันจาก Apple
  • ใช้เว็บไซต์ Apple Check Coverage ที่ได้กล่าวถึงในข้อ 1 เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับการรับประกันของเครื่อง
  • เครื่อง iPhone ของแท้จะมีข้อมูลการรับประกันที่ถูกต้องตามที่ระบุไว้จาก Apple และยังสามารถใช้บริการซ่อมแซมที่ Apple Store หรือศูนย์บริการ Apple ได้

9. ตรวจสอบราคาและที่มาของเครื่อง
  • ราคาของ iPhone มือสองที่ขายในตลาดต้องสมเหตุสมผล หากเครื่องมีราคาถูกผิดปกติ อาจเป็นเครื่องปลอมหรือเครื่องที่มีปัญหา
  • ควรซื้อจากร้านค้าที่มีชื่อเสียงหรือจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับสินค้าของแท้

บทสรุป การตรวจสอบ iPhone มือสองตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถมั่นใจได้ว่าเครื่องที่คุณสนใจเป็นของแท้และปลอดภัยในการใช้งาน

#Apple #iOS #iPhone

2 วิธีเชื่อมต่อเมาส์ไร้สาย

Wireless Mouse
เมาส์ไร้สาย (Wireless Mouse) เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เนื่องจากช่วยลดความยุ่งเหยิงของสายไฟ และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานกับคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก หรืออุปกรณ์พกพาอื่น ๆ 

การเชื่อมต่อของเมาส์ไร้สายสามารถแบ่งได้เป็นสองวิธีหลัก ได้แก่ การเชื่อมต่อผ่าน USB Receiver ที่เน้นความเสถียรและตอบสนองเร็ว เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปและงานที่ต้องการความแม่นยำ และการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ที่มอบความสะดวกในการพกพา รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบ 

ผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทการเชื่อมต่อที่เหมาะสมตามลักษณะการใช้งาน เพื่อให้ได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับความสะดวกสบายที่เมาส์ไร้สายมอบให้ในชีวิตประจำวัน


เมาส์แบบ Wireless (ไร้สาย) มีวิธีการเชื่อมต่อ 2 วิธี

1. การเชื่อมต่อแบบ USB Receiver (RF - Radio Frequency)  
  • ใช้ตัวรับสัญญาณ USB (เรียกกันว่า Dongle หรือ Receiver) เสียบเข้ากับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์  
  • ตัวเมาส์ส่งสัญญาณผ่านคลื่นวิทยุ (RF) โดยใช้งานในความถี่ 2.4 GHz  

ข้อดี  
  • การเชื่อมต่อเสถียร รวดเร็ว และมีความหน่วง (Latency) ต่ำ  
  • ระยะการใช้งานค่อนข้างไกล (ปกติประมาณ 10 เมตร)  
  • ใช้งานง่าย เพียงแค่เสียบ USB Receiver ก็พร้อมใช้งาน  

ข้อเสีย  
  • ต้องใช้งานร่วมกับ Receiver ถ้าหายจะใช้งานไม่ได้  
  • อาจเกิดการรบกวนสัญญาณหากอยู่ในพื้นที่ที่มีคลื่นวิทยุเยอะ  

2. การเชื่อมต่อแบบ Bluetooth  
  • เชื่อมต่อผ่านสัญญาณ Bluetooth ที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ เช่น แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต  
  • ไม่ต้องใช้ตัวรับสัญญาณ USB  

ข้อดี  
  • ไม่ต้องพก Receiver เพิ่มเติม 
  • ประหยัดพอร์ต USB  
  • รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์หลายประเภท เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต  
  • ประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับ RF  

ข้อเสีย  
  • การเชื่อมต่ออาจช้ากว่า RF เล็กน้อย  
  • ระยะการเชื่อมต่อใกล้กว่าประเภท RF (ประมาณ 5-10 เมตร)  
  • การเชื่อมต่ออาจหลุดง่ายในบางครั้ง  

สรุปเลือกเชื่อมต่อ mouse แบบไหนดี  
  • หากต้องการความเสถียรและใช้งานกับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเป็นหลัก ควรเลือกแบบ USB Receiver  
  • หากต้องการความสะดวก พกพาง่าย และใช้งานกับอุปกรณ์หลากหลาย ควรเลือกแบบ Bluetooth  

บทสรุป การเชื่อมต่อเม้าส์ทั้งสองแบบ มีประโยชน์แตกต่างกัน ตามลักษณะการใช้งาน เลือกแบบที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณจะดีที่สุด! 

ตั้งเวลาส่งอีเมลล่วงหน้า

Delay Mail
ส่งเมลออกอย่างไร ให้ตรงเวลาเป๊ะเวอร์  

การตั้งเวลาส่งอีเมลล่วงหน้าใน Microsoft Outlook เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การจัดการอีเมลมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีงานที่ต้อง ส่งอีเมลในเวลาที่กำหนด หรือ ทำงานในเวลาที่แตกต่างจากเขตเวลาของผู้รับ เช่น การส่งรายงานหรือการแจ้งเตือนที่มีการตั้งเวลาส่งในอนาคต การตั้งเวลาอีเมลยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเตรียมอีเมลไว้ล่วงหน้าได้ โดยไม่ต้องกังวลว่า จะลืมส่งในช่วงเวลาที่เหมาะสม 

นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกับทีมต่างๆ และการจัดการอีเมลในลักษณะอัตโนมัติ ลดความเสี่ยงจากการลืมส่งข้อมูลสำคัญที่ต้องการส่งในเวลาที่กำหนด การตั้งค่านี้จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเพิ่มความมีระเบียบและประสิทธิภาพในการทำงาน


3 ขั้นตอนตั้งเวลาส่งอีเมลล่วงหน้า


ขั้นตอนที่ 1: เขียนอีเมล
  • เปิด Microsoft Outlook และคลิกที่ New Email เพื่อเริ่มเขียนอีเมลใหม่
  • กรอกข้อมูลในช่อง To (ผู้รับ), Subject (หัวเรื่อง), และข้อความที่ต้องการส่ง

ขั้นตอนที่ 2: ตั้งเวลาการส่งอีเมล

Delay Mail
  • คลิกที่ Options บนแถบเครื่องมือด้านบน
  • จากนั้นคลิกที่ Delay Delivery ซึ่งจะเปิดหน้าต่าง Properties
  • ในหน้าต่าง Properties ให้ไปที่ส่วน Delivery options และทำเครื่องหมายในช่อง Do not deliver before
  • เลือกวันที่และเวลาที่คุณต้องการให้ส่งอีเมล (วัน/เวลาในอนาคต)
  • คลิก Close เพื่อปิดหน้าต่าง Properties

ขั้นตอนที่ 3: ส่งอีเมล
  • เมื่อคุณตั้งค่าการส่งเรียบร้อยแล้ว คลิก Send เพื่อส่งอีเมล
  • อีเมลจะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ Outbox และจะถูกส่งตามเวลาที่คุณกำหนด

คำถาม จำเป็นต้องเปิดคอมฯ ทิ้งไว้หรือไม่

ไม่จำเป็นต้องเปิดคอมพิวเตอร์หรือเปิด Microsoft Outlook ทิ้งไว้เมื่อคุณตั้งเวลาส่งอีเมลล่วงหน้า หากคุณใช้ Outlook ในโหมดออนไลน์ (เช่น การใช้งานผ่าน Microsoft 365 หรือ Outlook.com) อีเมลจะถูกส่งตามเวลาที่คุณกำหนดแม้คอมพิวเตอร์ของคุณจะปิดอยู่หรือ Outlook ไม่เปิดอยู่ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หากคุณใช้ Outlook ในโหมดออฟไลน์ (เช่น Outlook บน Windows) และยังไม่ได้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์, อีเมลจะถูกเก็บไว้ใน Outbox และจะถูกส่งเมื่อคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอีกครั้ง

บทสรุป การตั้งค่าการส่งอีเมลล่วงหน้าทำให้คุณสามารถเขียนอีเมลและกำหนดเวลาการส่งให้ตรงกับเวลาที่ต้องการโดยไม่จำเป็นต้องรออยู่หน้าคอมพิวเตอร์เมื่อถึงเวลา

#MicrosoftOutlook #MicrosoftOffice #Outlook

ทำความรู้จัก IP Address

IP Address
รู้ไว้ ได้ประโยชน์เยอะ !!  

IP Address (Internet Protocol Address) คือ หมายเลขที่ใช้ระบุอุปกรณ์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายภายใน โดยมีลักษณะเป็นตัวเลขที่แบ่งออกเป็นชุด ๆ เช่น 192.168.1.1 ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ IoT สามารถติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย 

IP Address ถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ IPv4 ที่ใช้ตัวเลข 32 บิต และ IPv6 ที่ใช้ตัวเลข 128 บิต เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ประโยชน์ของ IP Address คือการช่วยระบุตำแหน่งของอุปกรณ์บนเครือข่าย ทำให้สามารถส่งข้อมูลไปยังปลายทางที่ถูกต้องได้ และยังเป็นพื้นฐานของการกำหนดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รวมถึงการบริหารจัดการเครือข่ายภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งานเครือข่ายอีกด้วย


ประเภทของ IP Address

1. IPv4 (Internet Protocol version 4)
ใช้ตัวเลข 4 ชุด เช่น `192.168.1.1` โดยแต่ละชุดมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 255 (รวม 32 บิต) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้กันมากที่สุด

2. IPv6 (Internet Protocol version 6)
ใช้ตัวเลขและตัวอักษร 8 ชุด เช่น `2001:0db8:85a3:0000:0000:8a2e:0370:7334` (รวม 128 บิต) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IPv4

IPv5 หายไปไหน

IPv5 ไม่ได้หายไปไหน แต่เป็นโปรโตคอลที่เคยมีการพัฒนาและทดลองใช้งานมาก่อนหน้านี้ โดยชื่อเต็มของมันคือ Internet Stream Protocol (ST) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการส่งข้อมูลแบบสตรีม (streaming) เช่น เสียงและวิดีโอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

 ทำไม IPv5 ไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐาน
  • IPv5 ถูกออกแบบเพื่อการสตรีม: มันถูกพัฒนาในช่วงปี 1979-1990 เพื่อทดลองการสื่อสารแบบเรียลไทม์ เช่น การประชุมทางไกลหรือการส่งข้อมูลเสียง
  • ข้อจำกัดของโปรโตคอล: IPv5 ใช้โครงสร้าง Address แบบ 32 บิต เหมือนกับ IPv4 ดังนั้นจึงเผชิญปัญหาการขาดแคลน IP Address เหมือนกัน
  • ไม่ได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐาน: เนื่องจาก IPv5 ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลน IP Address และไม่ได้พัฒนาต่อให้เป็นมาตรฐานทางการ ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย
ทำไมถึงข้ามไปใช้ IPv6
  • เมื่อมีการพัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถแก้ไขปัญหาของ IPv4 ได้ ทีมพัฒนาจึงเลือกข้ามไปใช้ชื่อ IPv6 แทน เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับโปรโตคอลที่เคยทดลองใช้งานในชื่อ IPv5 มาก่อนหน้านี้

IPv5 จึงถือว่าเป็น โปรโตคอลทดลองที่ไม่ถูกนำมาใช้งานจริง และถูกแทนที่ด้วย IPv6 ซึ่งเป็นมาตรฐานในปัจจุบันที่รองรับการใช้งานอย่างแพร่หลาย

ประโยชน์ของ IP Address

  • ระบุตำแหน่งของอุปกรณ์: ทำให้ระบบเครือข่ายรู้ว่าจะส่งข้อมูลไปที่ไหน
  • การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: ช่วยให้อุปกรณ์สามารถเข้าถึงเว็บไซต์หรือบริการออนไลน์
  • การจัดการเครือข่าย: ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อในเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย

เจาะลึกเรื่อง IP Address

'192.168.1.0/24' คือ CIDR (Classless Inter-Domain Routing) Notation ซึ่งใช้เพื่อระบุช่วงของที่อยู่ IP (IP Address Range) ภายในเครือข่ายเดียวกัน โดยในกรณีนี้หมายถึงเครือข่ายที่มีการใช้ IP Address ภายในช่วง `192.168.1.0` ถึง `192.168.1.255` รวมทั้งหมด 256 IP Address

การอธิบาย CIDR (Classless Inter-Domain Routing)
  • 192.168.1.0: คือที่อยู่เครือข่าย (Network Address) ซึ่งใช้เพื่อระบุเครือข่ายนั้น ๆ
  • /24: คือตัวบอกจำนวนบิตของ Network Prefix ที่ใช้ เช่น /24 หมายถึงใช้ 24 บิตแรกสำหรับ Network และเหลือ 8 บิตสุดท้ายสำหรับ Host

การคำนวณช่วง IP Address

/24 หมายถึง Network Prefix 24 บิตแรก (255.255.255.0)
  • เช่น `192.168.1.0` ใน Binary คือ `11000000.10101000.00000001.00000000`
  • โดยใช้บิต Network 24 บิต: `11000000.10101000.00000001.`
8 บิตที่เหลือ สามารถใช้สำหรับ Host Addressing:
  • ตั้งแต่ `00000000` (0) ถึง `11111111` (255)

ตัวอย่าง IP Address ภายในเครือข่าย 192.168.1.0/24
  • 192.168.1.0: Network Address (ใช้เพื่อระบุเครือข่าย)
  • 192.168.1.1 ถึง 192.168.1.254: ใช้เป็น IP Address สำหรับอุปกรณ์ในเครือข่าย (Host)
  • 192.168.1.255: Broadcast Address (ใช้ส่งข้อมูลถึงทุกอุปกรณ์ในเครือข่าย)

จำนวน IP Address ที่สามารถใช้ได้

ใน `192.168.1.0/24` มีทั้งหมด 256 IP Address
  • แต่สามารถใช้ได้จริงเพียง 254 IP Address เท่านั้น
  • เพราะ Network Address (`192.168.1.0`) และ Broadcast Address (`192.168.1.255`) ไม่สามารถใช้ได้สำหรับ Host

การใช้งานทั่วไป
  • เครือข่ายภายใน (Private Network): ช่วง `192.168.x.x` เป็น IP Address ที่ใช้ในเครือข่ายภายใน (Private IP) ตามมาตรฐาน RFC 1918
  • มักใช้ใน Home Network และ สำนักงานขนาดเล็ก โดย Router จะตั้งค่าให้เป็น IP Address เริ่มต้น เช่น `192.168.1.1`

บทสรุป IP Address จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เครือข่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั่วโลก

อย่ามองข้าม การอัปเดท OS บนมือถือ!

OS Update
เหตุผลดีๆ ที่ควรอัปเดท OS !!  

การอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ในด้านความปลอดภัย โดยการอัปเดตเป็นประจำช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น มัลแวร์ ไวรัส และการโจมตีจากแฮกเกอร์ 

ระบบปฏิบัติการและแอปที่ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดี สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ง่าย การอัปเดตช่วยอุดช่องโหว่เหล่านี้ พร้อมกับปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน การเข้ารหัสข้อมูล และการป้องกันการติดตามผ่านแอป 

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่สูงสุด ควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบนสมาร์ทโฟนอย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งค่าการอัปเดตอัตโนมัติหากเป็นไปได้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของคุณจะปลอดภัยจากภัยคุกคามใหม่ๆ อยู่เสมอ


การอัปเดตระบบปฏิบัติการ และ แอปบนสมาร์ทโฟน เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ และการปรับปรุงการทำงานให้สอดคล้องกับแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ๆ การอัปเดตสามารถทำได้ง่ายดายทั้งในระบบปฏิบัติการ iOS และ Android โดยเรามีคำแนะนำเบื้องต้นในการอัปเดตทั้งสองระบบนี้ดังนี้


วิธีอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบน iOS (iPhone)

  • อัปเดตระบบปฏิบัติการ (iOS)
  • ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์) 
  • หากมีอัปเดตใหม่ ให้เลือก Download and Install (ดาวน์โหลดและติดตั้ง) 
  • ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi และชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มหรือเสียบสายชาร์จไว้ขณะทำการอัปเดต

2. อัปเดตแอปพลิเคชัน
  • เปิด App Store
  • ไปที่ Profile (โปรไฟล์) มุมขวาบน
  • เลื่อนดูรายการแอปที่ต้องการอัปเดต จากนั้นเลือก Update (อัปเดต) หรือ Update All (อัปเดตทั้งหมด)


วิธีอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปบน Android

1. อัปเดตระบบปฏิบัติการ (Android)
  • ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > System (ระบบ) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์) หรือ About phone (เกี่ยวกับโทรศัพท์) 
  • เลือก Check for updates (ตรวจสอบการอัปเดต) แล้วทำตามขั้นตอน
  • เช่นเดียวกับ iOS ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi และชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม

2. อัปเดตแอปพลิเคชัน
  • เปิด Google Play Store
  • ไปที่ Profile (โปรไฟล์) > Manage apps & device (จัดการแอปและอุปกรณ์)
  • เลือก Update all (อัปเดตทั้งหมด) หรือเลือกอัปเดตเฉพาะแอปที่ต้องการ

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

ให้เปิดการอัปเดตอัตโนมัติ: วิธีนี้ จะช่วยให้แอปพลิเคชันและระบบปฏิบัติการของคุณอัปเดตอยู่เสมอโดยไม่ต้องทำด้วยตนเอง
  • บน iOS: ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > App Store > เปิด App Updates (อัปเดตแอป)
  • บน Android: ไปที่ Google Play Store > Profile (โปรไฟล์) > Settings (การตั้งค่า) > Network preferences (การตั้งค่าเครือข่าย) > เปิด Auto-update apps (อัปเดตแอปอัตโนมัติ)

สิ่งสำคัญ ควรสำรองข้อมูลก่อนการอัปเดต: เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย ควรทำการ Backup ข้อมูลก่อนทุกครั้ง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ยังไม่เคยมีปัญหาของข้อมูล หลังการอัปเดทระบบปฏิบัติการบนมือถือเลย

บทสรุป การอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สมาร์ทโฟนของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น อย่าลืมตรวจสอบการอัปเดตเป็นประจำเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด!

วิธีจัดการแอป ที่ทำงานเบื้องหลังบนมือถือ

Mobile Apps
การใช้งานสมาร์ทโฟนแบบมืออาชีพไม่ใช่เพียงแค่การโทรเข้า-ออกหรือส่งข้อความ แต่ยังรวมถึงการใช้ฟีเจอร์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเต็มที่ 

การปรับตั้งค่าที่เหมาะสม การจัดการทรัพยากรเครื่อง เช่น การปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลัง การเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลส่วนตัว และการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ประโยชน์จากสมาร์ทโฟนได้อย่างสูงสุด อีกทั้งยังสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และเพิ่มความเร็วในการประมวลผล การเรียนรู้ทักษะการใช้งานเหล่านี้จะช่วยให้คุณเป็นผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่มีความชำนาญและสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การปิดแอปที่ทำงานอยู่เบื้องหลังบนสมาร์ทโฟนสามารถช่วยลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่และทำให้เครื่องทำงานได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณรู้สึกว่าเครื่องช้าหรือแบตเตอรี่หมดเร็วเกินไป การปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนที่คุณใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็น Android หรือ iOS (iPhone) 


วิธีปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังบน Android

1. ใช้ปุ่ม Recent Apps:
  • กดปุ่ม Recent Apps (ปุ่มที่มักจะอยู่ด้านซ้ายหรือขวาของปุ่ม Home)
  • เลื่อนแอปที่คุณต้องการปิดไปทางซ้ายหรือขวา หรือกดปุ่ม "X" หรือ "Clear All" เพื่อปิดแอปทั้งหมด

2. ใช้การตั้งค่า:
  • ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > แอป (Apps) หรือ แอปและการแจ้งเตือน (Apps & Notifications)
  • เลือกแอปที่คุณต้องการปิด
  • กด บังคับหยุด (Force Stop)

3. ปิดการทำงานเบื้องหลัง (สำหรับการประหยัดแบตเตอรี่):
  • ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > แบตเตอรี่ (Battery) > การใช้แบตเตอรี่ (Battery Usage)
  • เลือกแอปที่คุณต้องการจำกัดการทำงานเบื้องหลัง
  • เปิด จำกัดการทำงานเบื้องหลัง (Restrict Background Activity)

วิธีปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังบน iOS (iPhone)

1. ใช้ App Switcher:
  • สำหรับ iPhone รุ่นที่ไม่มีปุ่ม Home (เช่น iPhone X ขึ้นไป): ปัดขึ้นจากด้านล่างของหน้าจอค้างไว้
  • สำหรับ iPhone รุ่นที่มีปุ่ม Home: กดปุ่ม Home สองครั้ง
  • เลื่อนแอปที่คุณต้องการปิดขึ้นไปด้านบนของหน้าจอ

2. ปิดการทำงานเบื้องหลัง:
  • ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > ทั่วไป (General) > รีเฟรชแอปเบื้องหลัง (Background App Refresh)
  • ปิดการทำงานสำหรับแอปที่คุณไม่ต้องการให้ทำงานเบื้องหลัง หรือปิดทั้งหมดด้วยการเลือก Off

3. ใช้การตั้งค่าแบตเตอรี่:
  • ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > แบตเตอรี่ (Battery)
  • ตรวจสอบแอปที่ใช้พลังงานมาก และปรับการตั้งค่าตามที่จำเป็น

ข้อควรระวัง
  • การปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังบ่อยเกินไปอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องเท่าที่คิด เพราะสมาร์ทโฟนสมัยใหม่ถูกออกแบบมาให้จัดการแอปที่ทำงานเบื้องหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ควรปิดเฉพาะแอปที่คุณไม่ต้องการใช้งานจริง ๆ หรือแอปที่มีปัญหาเท่านั้น

บทสรุป การจัดการแอปที่ทำงานเบื้องหลังให้ดีจะช่วยให้สมาร์ทโฟนของคุณทำงานได้รวดเร็วและมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น! คนใช้สมาร์ทโฟนทุกคน ควรต้องรู้ไว้