This Week's/Trending Posts

Hand-Picked/Curated Posts

Most Popular/Fun & Sports

I am Ai.

I am Ai

Hand-Picked/Weekly News

The Most/Recent Articles

Ai

Ai รวมลิงค์พร้อมรายละเอียด

Ai

ปัจจุบัน AI ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายด้าน ตั้งแต่ Generative AI ที่ช่วยสร้างเนื้อหา Text to Image และ Text to Video ที่เปลี่ยนข้อความเป็นภาพ 

หรือวิดีโอ AI Voice ที่ช่วยสร้างเสียงพูดเสมือนจริง ไปจนถึง AI Video Editing ที่ช่วยตัดต่อวิดีโออย่างรวดเร็ว ด้วยความหลากหลายของ AI แต่ละประเภท 

การเลือกใช้งานให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เช่น หากต้องการสร้างภาพจากข้อความ ควรใช้ Midjourney หรือ DALL·E หากต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ChatGPT หรือ Claude อาจเป็นตัวเลือกที่ดี การเข้าใจประเภทของ AI และเลือกให้เหมาะกับงานที่ต้องการ จะช่วยให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  

AI แยกตามประเภทและความสามารถ


ชื่อ AI ประเภท ความสามารถ ลิงก์เว็บไซต์
Generative AI (Text)
ChatGPTGenerative AI (Text)AI สนทนาและช่วยงานด้านข้อมูลchat.openai.com
ClaudeGenerative AI (Text)วิเคราะห์และสร้างข้อความอัจฉริยะclaude.ai
Gemini (Bard)Generative AI (Text)ค้นหา วิเคราะห์ และสร้างข้อมูลgemini.google.com
DeepSeekGenerative AI (Text)AI วิเคราะห์และช่วยสร้างเนื้อหาdeepseek.com
QwenGenerative AI (Text)AI ภาษาไทยและอังกฤษ (Alibaba)Qwen
Meta AIGenerative AI (Text)AI วิเคราะห์ข้อมูลและสร้างเนื้อหาmeta.ai
CopilotGenerative AI (Text)AI ผู้ช่วยจาก Microsoftcopilot.microsoft.com
Text to Image
MidjourneyText to Imageสร้างภาพจากคำอธิบายข้อความmidjourney.com
DALL·E 3Text to ImageAI สร้างภาพจากข้อความopenai.com/dall-e
Leonardo AIText to ImageAI ออกแบบภาพเชิงสร้างสรรค์leonardo.ai
Stable DiffusionText to Imageสร้างภาพศิลปะและแต่งภาพอัตโนมัติStable
Text to Video / Image to Video
Runway Gen-2Text to Videoสร้างวิดีโอจากคำอธิบายrunwayml.com
Kling AiImage to Videoสร้างวิดีโอจากภาพKling Ai
Pika LabsText to VideoAI สร้างวิดีโอจากข้อความและภาพpika.art
PixverseText to VideoAI แปลงข้อความเป็นวิดีโอpixverse.ai
Make-A-VideoText to Videoสร้างวิดีโอจากข้อความmeta.com/ai
Deep NostalgiaImage to Videoทำให้ภาพนิ่งเคลื่อนไหวmyheritage.com
Magic HourAll of Image/VideoภาพและวีดีโอMagic Hour
AI Video Editing
CapCutAI Video EditingAI ตัดต่อและแก้ไขวิดีโอcapcut.com
AI Audio / AI Voice
ElevenLabsText to Speechสร้างเสียงพากย์จากข้อความelevenlabs.io
WhisperSpeech to Textถอดเสียงพูดเป็นข้อความopenai.com/whisper
DescriptSpeech to Textถอดเสียงและตัดต่อเสียงอัตโนมัติDescript
AIVAAI Music Composerแต่งเพลงและสร้างดนตรี AIaiva
SUNO AIAi Music Composerแต่งเพลงและสร้างดนตรี AISUNO



ใช้ละอองน้ำพ่นเพื่อลด PM 2.5 ได้ผลไหม

พ่นละอองน้ำ

ปัญหา PM 2.5 เป็นภัยต่อสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งในเรื่องของระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และสุขภาพโดยรวม เป็นปัญหาสำคัญระดับชาติ ที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจและช่วยกัน

เจาะลึก ReadyBoost

ReadyBoost

ReadyBoost เป็นฟีเจอร์ของ Windows ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์โดยใช้แฟลชไดรฟ์ (USB) หรือเมมโมรี่การ์ดเป็นแคชเสริมแทนฮาร์ดดิสก์ 

การทำงานของ ReadyBoost จะช่วยลดเวลาในการเข้าถึงไฟล์และเร่งความเร็วการโหลดโปรแกรม เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ที่มี RAM ต่ำ หรือใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน (HDD) ซึ่งมีความเร็วต่ำเมื่อเทียบกับ SSD 

โดย ReadyBoost จะช่วยเก็บข้อมูลที่ใช้บ่อยไว้ในอุปกรณ์แฟลชที่มีความเร็วสูง ทำให้ระบบสามารถเรียกใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การใช้งาน ReadyBoost ง่าย ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม เพียงเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่รองรับ ตั้งค่าใช้งาน และระบบจะทำงานอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ไม่มีผลมากนักหากคอมพิวเตอร์ใช้ SSD หรือมี RAM เพียงพอแล้ว  

ReadyBoost คืออะไร

ReadyBoost เป็นเทคโนโลยีของ Windows ที่ใช้ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบแฟลช เช่น USB Drive, SD Card หรือ Compact Flash (CF) มาเป็นแคชเสริมให้กับระบบ เพื่อช่วยลดภาระการอ่าน/เขียนข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน (HDD) ซึ่งทำงานช้ากว่าหน่วยความจำแฟลช  

 หลักการทำงานของ ReadyBoost:  
  • ใช้พื้นที่ของ USB หรือ SD Card เป็นหน่วยความจำเสมือน (Cache)  
  • ช่วยให้ Windows โหลดไฟล์และโปรแกรมที่ใช้งานบ่อยได้เร็วขึ้น  
  • ลดภาระการอ่าน/เขียนข้อมูลจาก HDD  
  • ทำให้ระบบตอบสนองได้ไวขึ้น โดยเฉพาะในคอมพิวเตอร์ที่มี RAM ต่ำกว่า 4GB  

 ReadyBoost ช่วยในกรณีไหนบ้าง?  
  • เครื่องที่ใช้ HDD แบบจานหมุน และมี RAM น้อย  
  • คอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถอัปเกรด RAM ได้  
  • ต้องการเพิ่มความเร็วของระบบโดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์  

วิธีเปิดใช้งาน ReadyBoost  

เตรียมอุปกรณ์ที่รองรับ  
  • แฟลชไดรฟ์ USB 2.0 ขึ้นไป หรือ SD Card  
  • ความจุอย่างน้อย 4GB (แนะนำ 8GB ขึ้นไป)  
  • มีความเร็วอ่าน/เขียนสูง (แนะนำ 5MB/s ขึ้นไป)  
เชื่อมต่ออุปกรณ์กับคอมพิวเตอร์  
  • เสียบ USB Drive หรือ SD Card เข้ากับเครื่อง  
ตั้งค่า ReadyBoost  
  • เปิด File Explorer → คลิกขวาที่ USB Drive → เลือก Properties  
  • ไปที่แท็บ ReadyBoost → เลือก "Use this device"  
  • เลือกขนาดพื้นที่ที่ต้องการใช้ (แนะนำ 1-4 เท่าของ RAM)  
  • กด Apply และ OK  
เริ่มใช้งาน  
  • ReadyBoost จะเริ่มทำงานทันที และ Windows จะใช้แคชจากอุปกรณ์แฟลช  

ข้อควรระวัง และข้อจำกัดของ ReadyBoost  

ข้อควรระวัง  
  • ไม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากนักหากใช้ SSD เพราะ SSD มีความเร็วสูงกว่าแฟลชไดรฟ์  
  • ไม่ช่วยเพิ่มความเร็วของแอปพลิเคชันที่ใช้ CPU หนัก เช่น โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ  
  • อุปกรณ์ที่ใช้ควรมีอายุการใช้งานที่ดี เพราะการอ่าน/เขียนข้อมูลบ่อยอาจลดอายุของ USB หรือ SD Card  

ข้อจำกัดของ ReadyBoost
  • Windows 10 และ 11 มีการจัดการหน่วยความจำที่ดีขึ้น ทำให้ ReadyBoost ไม่จำเป็นมาก  
  • ไม่รองรับแฟลชไดรฟ์ที่มีความเร็วต่ำ (ต่ำกว่า 2.5MB/s)  
  • ใช้ได้สูงสุด 32GB ต่ออุปกรณ์ และ 256GB สำหรับหลายอุปกรณ์รวมกัน  
  • ไม่สามารถใช้ได้หากคอมพิวเตอร์มี SSD เป็นตัวบูตหลัก  

บทสรุป ReadyBoost เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ HDD และมี RAM น้อย โดยช่วยเร่งความเร็วของระบบผ่านแคชในแฟลชไดรฟ์หรือ SD Card แต่สำหรับเครื่องที่ใช้ SSD หรือมี RAM เพียงพออยู่แล้ว ฟีเจอร์นี้จะไม่มีผลมากนัก หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม การอัปเกรด SSD และ RAM จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

วิธีเพิ่มแรม แบบไม่ต้องเสียเงิน

Virtual Memery
คุณทราบหรือไม่ว่า ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือ "หน่วยความจำแรม (RAM)" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ระบบทำงานได้รวดเร็วและลื่นไหลขึ้น 

วิธีใช้ Passkey กับ Windows

Passkey

ในยุคดิจิทัลที่ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ การใช้รหัสผ่านแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ดังนั้น Passkey จึงเป็นอีกทางเลือก ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากกว่า 

Passkey รหัสผ่านแบบใหม่

Passkey

ในยุคดิจิทัลที่การใช้งานออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ความปลอดภัยของรหัสผ่าน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ 

ไอเดียประหยัดค่าใช้จ่ายทางไอที

SaaS
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ องค์กรขนาดเล็กมักพบกับความท้าทายในการจัดการค่าใช้จ่ายทางไอที ซึ่งอาจส่งผลต่องบประมาณโดยรวมได้ 

ดังนั้น การลดต้นทุนด้านไอทีไม่เพียงช่วยประหยัดเงิน แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความยืดหยุ่นให้กับองค์กร อย่างไรก็ดี การประหยัดค่าใช้จ่ายต้องไม่กระทบต่อคุณภาพและการรักษาความปลอดภัยของระบบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว


5 ไอเดียประหยัดค่าใช้จ่ายทางไอที สำหรับองค์กรขนาดเล็ก 


1. ใช้คลาวด์และซอฟต์แวร์แบบบริการ (SaaS)  
  • การใช้คลาวด์และ SaaS ช่วยลดต้นทุนในการซื้อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบเดิม เพราะองค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนในเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลเอง นอกจากนี้ คลาวด์ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เนื่องจากผู้ให้บริการจะดูแลระบบให้อัตโนมัติ  
ตัวอย่าง  
  • Google Workspace หรือ Microsoft 365 ช่วยให้องค์กรใช้งานอีเมล, การจัดเก็บข้อมูล, และเครื่องมือทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ โดยไม่ต้องลงทุนในเซิร์ฟเวอร์หรือซอฟต์แวร์ติดตั้งเอง  
  • AWS หรือ Google Cloud Platform ช่วยให้องค์กรขนาดเล็กสามารถเช่าใช้ทรัพยากรไอทีตามความต้องการ (Pay-as-you-go) ซึ่งช่วยลดต้นทุนเมื่อเทียบกับการซื้อฮาร์ดแวร์เอง  

2. เลือกอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม  
  • การเลือกอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่ตรงกับความต้องการจริงขององค์กรช่วยหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น องค์กรควรวิเคราะห์ความต้องการก่อนตัดสินใจซื้อ และพิจารณาใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สหรือตัวเลือกที่มีราคาประหยัด  
ตัวอย่าง  
  • แทนที่จะซื้อซอฟต์แวร์ Microsoft Office แบบเต็มราคา องค์กรอาจเลือกใช้ LibreOffice ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สฟรี  
  • สำหรับองค์กรที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ ควรเลือกสเปกที่เหมาะสมกับงาน เช่น หากพนักงานใช้แค่ทำงานเอกสารและอีเมล ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องที่มีสเปกสูงเกินไป  

3. ใช้ระบบอัตโนมัติ  
  • ระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาและทรัพยากรในการทำงานซ้ำๆ เช่น การสำรองข้อมูล การอัปเดตซอฟต์แวร์ หรือการจัดการระบบเครือข่าย ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน  
ตัวอย่าง
  • ใช้เครื่องมือเช่น Zapier หรือ Microsoft Power Automate เพื่อเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ และสร้างเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อมีคำสั่งซื้อใหม่  
  • ใช้ระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติเช่น Backupify หรือ Acronis เพื่อป้องกันข้อมูลสูญเสียโดยไม่ต้องจ้างพนักงานมาดูแลเอง  

4. ฝึกอบรมพนักงาน  
  • การฝึกอบรมพนักงานให้ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้ พนักงานที่เข้าใจระบบดีขึ้นยังช่วยลดความจำเป็นในการจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอก  
ตัวอย่าง  
  • จัดอบรมการใช้ซอฟต์แวร์ใหม่ เช่น การใช้ Trello หรือ Asana เพื่อจัดการโครงการ  
  • สอนพนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น การระวังอีเมลฟิชชิ่งหรือการตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรง  

5. ประเมินค่าใช้จ่ายเป็นประจำ  
  • การทบทวนและวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายทางไอทีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้องค์กรเห็นจุดที่สามารถปรับปรุงหรือลดต้นทุนได้ เช่น การยกเลิกบริการที่ไม่ใช้หรือการเปลี่ยนไปใช้บริการที่คุ้มค่ากว่า  
ตัวอย่าง  
  • ทุกไตรมาส ตรวจสอบการใช้คลาวด์และปรับขนาดทรัพยากรให้เหมาะสมกับความต้องการจริง เพื่อไม่ให้เสียเงินเกินจำเป็น  
  • ตรวจสอบสัญญาการให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์ เพื่อหาตัวเลือกที่ประหยัดกว่า  

บทสรุป การนำวิธีเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้องค์กรขนาดเล็กสามารถลดค่าใช้จ่ายทางไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตในระยะยาว

ตรวจสอบค่า PM2.5 แบบฟรี

AQI

ในปัจจุบัน ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง เช่น เมืองใหญ่หรือช่วงฤดูที่ฝุ่นสะสมมาก 

ดังนั้น การตรวจสอบค่า PM2.5 จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้เราวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ การตรวจสอบค่าฝุ่นในยุคดิจิทัลนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านสมาร์ทโฟนหรือเว็บไซต์ แอปพลิเคชันเช่น AirVisual, Air4Thai และ Google Search สามารถแสดงข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกัน 

อีกทั้งเว็บไซต์เช่น IQAir และกรมควบคุมมลพิษยังให้ข้อมูลแบบละเอียดในพื้นที่ต่าง ๆ บทความนี้จะแนะนำวิธีใช้งานทั้งแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถติดตามค่า PM2.5 ได้อย่างสะดวกและเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ


วิธีตรวจสอบค่า PM2.5 บนสมาร์ทโฟน  


1. ใช้แอปพลิเคชัน  

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่เชื่อถือได้ เช่น:  

  • AirVisual (IQAir): แสดงข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ พร้อมการพยากรณ์ล่วงหน้า  
  • Air4Thai: แอปจากกรมควบคุมมลพิษประเทศไทย  
  • พลัส+: แอปแสดงคุณภาพอากาศพร้อมคำแนะนำ  

วิธีใช้งาน  

  • ดาวน์โหลดแอปจาก Google Play Store หรือ App Store  
  • เปิดแอปและเปิดใช้งาน GPS เพื่อให้ระบบแสดงข้อมูลของพื้นที่ที่คุณอยู่  
  • ดูค่า PM2.5 ในหน่วย µg/m³ และระดับสีที่บ่งบอกคุณภาพอากาศ  


2. ใช้งานวิดเจ็ตบนหน้าจอ  

  • บางแอป เช่น AirVisual มีวิดเจ็ตให้เพิ่มบนหน้าจอเพื่อดูค่าฝุ่นแบบง่าย ๆ  


3. ผู้ช่วยดิจิทัล  

  • ใช้ Google Assistant หรือ Siri โดยพูดว่า "ตรวจสอบค่า PM2.5" เพื่อดูข้อมูล  


วิธีตรวจสอบค่า PM2.5 บนเว็บไซต์  


1. เว็บไซต์ IQAir  

  • เข้าสู่เว็บไซต์: iqair.com   
  • ค้นหาพื้นที่หรือเลือกประเทศ/เมืองที่ต้องการตรวจสอบ  
  • เว็บไซต์จะแสดงค่า PM2.5, AQI (Air Quality Index) และคำแนะนำ  


2. เว็บไซต์ Air4Thai  

  • เข้าสู่เว็บไซต์: air4thai.pcd.go.th  
  • แสดงแผนที่ประเทศไทยพร้อมจุดตรวจวัดคุณภาพอากาศ  
  • คลิกพื้นที่ที่ต้องการดูเพื่อแสดงรายละเอียด  


3. Google Search  

  • ค้นหา "ค่า PM2.5 [ชื่อเมือง]"  
  • Google จะดึงข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น AirVisual  


4. เว็บไซต์ของหน่วยงานท้องถิ่น  

  • เช่น กรมควบคุมมลพิษ หรือหน่วยงานในพื้นที่ที่ติดตั้งสถานีตรวจวัด  


เคล็ดลับเพิ่มเติม  

  • ดูค่า PM2.5 บ่อยครั้งในช่วงที่ฝุ่นสูง (ฤดูหนาวหรือช่วงเผาป่า)  
  • หากค่า PM2.5 สูงกว่า 50 µg/m³ ควรสวมหน้ากาก N95 หรืออยู่ในที่ปิดที่มีเครื่องกรองอากาศ