Buying Guide

แนะนำการเลือกซื้ออุปกรณ์ ไอที รวมทั้งสินค้าไฮเทค โดยจะเน้นทำความรู้จักกับอุปกรณ์ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจะแนะนำคุณสมบัติที่น่าสนใจ จุดเด่นในการเลือกซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม การจะเลือกซื้ออุปกรณ์ใดๆ นั้น ย่อมขึ้นกับการนำไปใช้ให้คุ้มค่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ในบางอุปกรณ์อาจมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ที่แตกต่างจากกันไปบ้าง แต่สำหรับคุณสมบัติหลักๆ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ใช้เป็นหลักในการเลือกซื้อ หวังว่าคงจะเป็นแนวทางในการเลือกซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้นน่ะครับ..

Flash Drive? คืออะไร

หลายๆ ค่ายอาจเรียกต่างกัน แต่ใช้เทคโนโลยีเหมือนกัน คือ Flash Memory ใช้สำหรับการโอนย้ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ โดยจะผ่านทางพอร์ต USB ในการเชื่อมต่อ สำหรับความทนทานแล้ว ถือว่า Flash Memory จะมีความทนทานการ harddisk เนื่องจากไม่มีหัวอ่าน

การเลือกซื้อ Flash Drive

  • พอร์ตการเชื่อมต่อ
    ปกติเป็นพอร์ต USB 1.1 และ USB 2.0 ให้เลือก USB 2.0 เพราะจะมีความเร็วต่างกันมาก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเครื่องคอมฯ ของคุณมีพอร์ต USB เวอร์ชั่น 1.1 ก็สามารถใช้งานร่วมกันได้เช่นกัน
  • ความจุ
    เดิมความจุเริ่มต้นด้วย?8, 16, 32, 64, 128 และ 256 MB??แต่ปัจจุบัน เริ่มต้นกันที่ 1,024 MB หรือ 1, 2, 4, 8, 16?GB แล้วครับ?
  • ความสามารถอื่นๆ
    ถ้าต้องการมากกว่าบันทึกข้อมูลแล้ว การพิจารณา Flash Drive ในอยู่ในรูปของ 4 in 1 ซึ่งมีความสามารถพิเศษอื่นๆ เพิ่มคือ ฟังวิทยุ เล่นไฟล์ MP3, บันทึกเสียง และท้ายสุดบันทึกข้อมูลได้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ราคาเมื่อเทียบกับความจุแล้ว จะต่างกันมาก
  • ขนาด
    ไม่มีผลกับความจุ แต่อย่างไรก็ตาม ขนาดโดยทั่วไปจะทำกับปากกา บางยี่ห้อมีการทำ Mini Flash Drive ซึ่งมีขนาดเล็กลงไปอีก ซึ่งสามารถใช้ห้อยคอได้ด้วย
  • ความเข้ากัน
    Flash Drive จะใช้งานได้ดีกับ Windows ME, 2000 และ XP โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้ง Driver แต่สำหรับ Windows 98 จำเป็นต้องมีการลง Driver ก่อนการใช้งาน
  • ไฟแสดงสถานะ?
    บางรุ่นจะมีไฟ LED เล็กๆ แสดงอยู่ ทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่า Flash Drive ถูกใช้งานอยู่

ทิปการใช้งาน Flash Driver หลังจากเลือกซื้อได้แล้ว อย่าลืมศึกษาเรื่องการใช้งานสักนิด เพราะว่าการเสียบ Flash Drive เข้ากับคอมฯ ในช่อง USB นั้น สามารถเสียบได้ทันที แต่กรณีที่ต้องการถอดออก โดยไม่ต้องการปิดเครื่องคอมฯ นั้น ให้ทำการ Stop การใช้งานก่อน เพราะมิฉะนั้น อาจทำให้ Flash Drive เสียหายได้..

 

Multi-Funcion คืออะไร

Multi-Function เป็นชื่อที่ใช้เรียกอุปกรณ์ที่สามารถทำหน้าที่ได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เช่น Printer, Scanner, Fax, Copier เป็นต้น ทั้งนี้ในแต่ละรุ่นอาจมีการลดหน้าที่บางอย่างออกไป เช่น บางรุ่น จะทำหน้าที่ Printer, Scanner และ Copies ได้เท่านั้น ไม่สามารถรับ-ส่ง Fax ได้ เป็นต้น

ทำไมต้อง Multi-Funcion

Multi-Function ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์รวมมิตรที่น่าใช้งานมากตัวหนึ่ง เหมาะสำหรับ office ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ในการทำงานจำกัด รวมทั้งการใช้งานใน user ทั่วไปที่ใช้งานตามบ้าน เนื่องจากเมื่อเทียบกับราคาและคุณสมบัติในการทำงานแล้ว ถือได้ว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว

ข้อคิดก่อนการเลือกซื้อ

  1. คุณสมบัติกับความต้องการ - การเลือกซื้อคงต้องคำนึงถึงความต้องการนำไปใช้เป็นหลัก ว่าต้องการรุ่นที่สามารถทำงานได้มากน้อยเพียงใด คุณสมบัติหลักๆ ของเครื่อง Mulit-Function แบ่งออกได้หลายลักษณะ ดังนี้
    • ทำหน้าที่เป็น Printer, Scanner, Fax, Copier
    • ทำหน้าที่เป็น Printer, Scanner, Copier
    • ทำหน้าที่เป็น Printer, Fax
    • ทำหน้าที่เป็น Printer, Copier
  2. ความสามารถในส่วนของ Printer - Mulit-Function ในส่วนของ Printer บางยี่ห้อจะมีให้เลือกว่าต้องการแบบ Laser หรือ Inkjet (ถ้าเป็น Inkjet จะสามารถพิมพ์สีได้) ส่วนเรื่องความเร็วในการพิมพ์ก็เป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณา
  3. ความสามารถในส่วนของ Scanner - Mulit-Function ในส่วนของ Scanner ควรดูในส่วนของความละเอียด ความคมชัดของภาพที่ได้จากการ Scan โดยปกติทั่วๆ ไปประมาณ 600 x 1200 dpi ความลึกของสี 48 bit
  4. ความสามารถในส่วนของ Fax - Mulit-Function ในส่วนของ FAX ควรตรวจสอบคุณสมบัติกับการใช้งานกับเครื่อง Fax ทั่วๆ ไป เช่น Fax Transmission Speed ควรไม่ต่ำกว่า 3 ขึ้นไป เป็นต้น
  5. ความสามารถในส่วนของ Copier - Mulit-Function ในส่วนของ Copier ควรดูในส่วนของความเร็วในการถ่ายสำเนา ระบบย่อ-ขยาย บางรุ่น บางยี่ห้อ สามารถ่ายในระบบ AutoFix และไร้ขอบ ได้อีกด้วย


การเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

ปัจจุบันการเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ที่ใช้การเชื่อมต่อแบบ USB ซึ่งเป็น port มาตราฐานในระบบคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ (ถ้าเครื่องคุณยังไม่มี USB Port สามารถหาซื้อเพิ่มมาได้) นอกจากนี้ในรุ่นใหญ่ๆ ยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายได้อีกด้วย


ข้อความคำนึงอีกอย่างหนึ่ง กรณีเครื่องมีปัญหา การส่งซ่อมอาจจำเป็นต้องยกทั้งเครื่องไปซ่อม ทำให้ไม่สามารถใช้งานความสามารถอื่นๆ ของเครื่องได้ในขณะนั้น ควรพิจารณาในข้อนี้ด้วย..

 

Scanner คืออะไร

อุปกรณ์สำหรับ Scan ภาพ หรือวัตถุ เพื่อเข้านำข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ ถือว่าเป็นอุปกรณ์หลัก ๆ อีกชิ้นหนึ่งของระบบคอมฯ ปัจจุบันมีมากมายหลายยี่ห้อและราคา การเลือกซื้อไม่ยุ่งยากเท่ากับเลือกซื้อคอมฯ เนื่องจากคุณสมบัติทั่วๆ มีไม่มาก ลองศึกษา ดูจากรายละเอียดดังนี้

ประเภทของสแกนเนอร์

  1. สแกนเนอร์แท่นเรียบ - Flatbed Scanner
    สแกนได้ครั้งละ 1 แผ่น เพียงวางกระดาษที่ต้องการสแกน คว่ำหน้าลง และเรียกโปรแกรมสำหรับสแกนขึ้นมา และเลือกคำสั่งสแกน (สแกนเนอร์แบบนี้จะให้คุณภาพการแสดงที่ดีมาก และใช้งานง่าย)

  2. สแกนเนอร์ดึงกระดาษ - Sheet-Fed Scanner
    สแกนได้ครั้ง 1 แผ่นเช่นเดียวกัน เวลาสแกนเครื่องจะดึงกระดาษเข้าไป คล้ายเครื่องพิมพ์ ไม่เหมาะสำหรับการสแกนหนังสือ เพราะต้องฉึกกระดาษออกมา ส่วนเรื่องราคานั้นไม่ค่อยแพงนัก คุณภาพที่ได้ยังไม่ค่อยดี
  3. สแกนเนอร์มือถือ - Handhelded Scanner
    สแกนเนอร์ที่ต้องการใช้มือลากไปยังภาพที่เราต้องการสแกน (สแกนค่อนข้างยาก) คุณภาพที่ได้ก็ไม่ค่อยดีนัก และยังต้องพึ่งความชำนาญในการลากเครื่องสแกน

เทคนิคการเลือกซื้อ Scanner

  • DPI (Dot Per Inch)
    dot per inch จำนวนจุดต่อนิ้ว หมายความว่า จะ Scanner สามารถ Scan ในความละเอียดสูง ได้ และในเวลาอันสั้น หมายความว่า มีคุณภาพค่อนข้างดี แต่อย่างไรก็ตาม ยิ่ง Scan ด้วยความละเอียดสูง จะทำให้ file ที่ได้มีขนาดใหญ่และช้ามากด้วย
  • ระบบการเชื่อมต่อ
    เดิมการเชื่อมต่อจะใช้ SCSI card (ส่วนใหญ่ต้องซื้อเพิ่ม) เข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มความเร็ว ปัจจุบันมักจะใช้ LPT หรือ USB มาเชื่อมต่อ แต่ก็ให้ความเร็วค่อนข้างดี
  • โปรแกรมที่แถมมาให้
    ควรมีโปรแกรมที่แถมมากับเครื่องเพื่อแก้ไขภาพ หรือถ้าต้องการ Scan ตัวอักษรแล้วต้องการแก้ไข ควรมีโปรแกรมประเภท OCR (OCR - Optical Character Recognition คือโปรแกรมที่สามารถเปลี่ยนข้อความที่เราสแกนเข้าไป เปลี่ยนเป็นข้อความที่สามารถแก้ไขได้โดยตรงด้วยโปรแกรมประเภท word)
  • ความสามารถพิเศษอื่นๆ
    สามารถ Scan ฟิล์มสไลต์, ฟิล์มเนกะทีฟ, Scan 3D หรือ3 มิติ ได้หรือไม่

 

ยูพีเอส UPS (Un-interruptible Power Supply) คืออะไร

หมายถึงเครื่องสำรองไฟ โดยมีแบตเตอร์รี่อยู่ในตัว หลักการทำงานจะทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟ ให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีการเชื่อมต่อ ในช่วงเวลาที่กระแสไฟฟ้าหลักเกิดทำงานผิดพลาด หรือไม่สามารถให้กระแสไฟได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไฟฟ้าดับในขณะที่เรากำลังทำงานอยู่ สำหรับการเลือกซื้อ UPS ให้ดูจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้

  • ขนาดของ UPS และการนำไปใช้ โดยปกติถ้าเรานำ UPS มาใช้กับระบบคอมพิวเตอร์ เราจะตรวจสอบขนาดของ UPS โดยมีหน่วยเป็น VA หรือ KVA โดยทั่วไป เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 ชุด จะใช้ไฟประมาณ 200 - 250 VA อย่างไรก็ตามการเลือกซื้อ การเลือกซื้อขนาดของ UPS ที่มากกว่าสักเล็กน้อย
  • ระยะเวลาการสำรอง Backup Time - หมายถึงระยะเวลาที่ UPS สามารถให้กระแสไฟได้ หลังจากเริ่มใช้งาน โดยปกติหลังจากไฟฟ้าดับ และเริ่มใช้งาน UPS เราจะใช้เพียงแค่ บันทึกงานที่ค้างอยู่ และปิดคอมพิวเตอร์ ดังนั้น ระยะเวลาการสำรอง อาจไม่จำเป็นต้องมากนัก เช่น อาจอยู่ระหว่าง 10 - 30 นาที เป็นต้น
  • ซอร์ฟแวณ์ควบคุม - ปัจจุบันมี UPS หลายยี่ห้อที่ผลิตซอร์ฟแวร์ ควบคุมการใช้งาน UPS เช่น สามารถตรวจสอบพลังงานที่คงเหลือใน UPS ได้ หรือสามารถสั่งปิดระบบคอมพิวเตอร์ได้ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับความจำเป็นของการนำไปใช้


ประเภทของ UPS

  1. Stand by UPS หรือ Offline UPS เป็น UPS ที่ใช้สำรองไฟเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถปรับแรงดันไฟฟ้าได้ ราคาของ UPS แบบนี้จะถูกที่สุด ไม่แนะนำให้ใช้กับระบบคอมพิวเตอร์
  2. Line Interactive UPS เป็น UPS ที่เพิ่มความสามารถจาก Stand by UPS โดยเพิ่มอุปกรณ์ในการปรับแรงดันไฟฟ้า หรือที่เราเรียกว่า Stabilizer ซึ่งมีส่วนให้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วง มีอายุการใช้งานที่มากขึ้น ราคาจะสูงกว่า Stand by UPS
  3. Online UPS หรือ Ture Online UPS เป็น UPS ที่เพิ่มความสามารถจาก Line Interactive UPS โดยเพิ่มในส่วนของการควบคุมคลื่นสัญญาณรบกวนในรูปแบบที่เรียกวา WAVE ได้ดี ถือว่า UPS ชนิดนี้สามารถป้องกันปัญหากระแสไฟได้ทุกชนิด สำหรับราคาจะแพงมากที่สุด เหมาะสำหรับติดตั้งกับอุปกรณ์ที่ต้องการควบคุมกระแสไฟให้สม่ำเสมอ และต้องการคุณภาพของไฟฟ้าที่สูง

ดังนั้น การเลือกซื้อ UPS คงต้องดูในเรื่องรายละเอียดการนำไปใช้ และงบประมาณกันสักนิด แต่เชื่อว่า รายละเอียดดังกล่าวข้างต้น คงพอจะช่วยให้เป็นแนวทางในการซื้อ UPS ได้ อ้อ ! สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการต่อ UPS กับคอมพิวเตอร์ ไม่ควรต่อเครื่องพิมพ์ชนิด หัวเข็ม หรือ Dot Matrix เข้าไปด้วย เพราะระบบพิมพ์แบบนี้ จะมีการใช้กระแสไฟแบบกระชาก ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่ง (UPS บางรุ่น จะมีช่องให้ต่อสำหรับเครื่องพิมพ์ชนิดนี้โดยเฉพาะ)


ทิป ปัญหาและเทคนิคการดูแล

  • การดูแลรักษา
    หัวใจของ UPS คือแบตเตอร์รี่ ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุการใช้งาน 1-2 ปี ดังนั้นเพื่อให้อายุการใช้งานของแบตเตอรรี่ให้นานที่สุด เราควรมีการใช้แบตเตอรรี่ โดยการดับไฟ เพื่อให้แบตเตอร์รี่ถูกใช้งาน ประมาณเดือนละครั้งสัก 10-15 นาที
  • ไฟไม่เข้า UPS
    ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบกับการใช้งาน UPS คือ ฟิลล์ขาด UPS ส่วนใหญ่จะมีฟิลล์สำรองในเครื่องให้ ดังนั้นถ้าสังเกตุว่าไม่มีไฟเข้า UPS ลองเช็คดูว่าฟิลล์ขาดหรือไม่
  • จอภาพสั่น
    อีกปัญหาหนึ่งที่พบอันเนื่องมาจากกระแสไฟที่จ่ายให้คอมพิวเตอร์มีสัญญาณรบกวนมาก การใช้ UPS เพื่อดักจับและปรับกระแสไฟจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

 

โปรเจ็กเตอร์ (projector) คืออะไร

เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการแสดงภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เหมาะสำหรับการนำมาใช้ เสนองานหรือที่เราเรียกว่า พรีเซ้นเทชั่น หรืออาจนำมาทำเป็น Home Theater โดยปกติ โปรเจ็กเตอร์สามารถนำมาต่อกับอุปกรณ์ได้หลายประเภท เช่น วีดีโอ วีดีโอซีดี หรือ ดีวีดี รวมทั้งคอมพิวเตอร์ เป็นต้น เนื่องจากราคาของโปรเจ็กเตอร์ค่อนข้างสูง ดังนั้นเราจึงควรพิถีพิถันในการเลือกซื้อ ซึ่งมีองค์ประกอบในการเลือก ดังนี้

  • ระบบเชื่อมต่อ
    สามารถนำมาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่เราต้องการได้หรือไม่ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ วีดีโอ audio in, out เป็นต้น รวมทั้งสามารถต่อได้พร้อมๆ กันกี่อุปกรณ์
  • ความละเอียดในการแสดงผล
    โดยจะเรียกความละเอียดว่า pixel หรือจุดในการแสดงผล ตัวอย่างเช่น 800 x 600 หรือ 1024 x 768 เป็นต้น โดยจะมีการเรียกความละเอียดเป็น VGA (640 x 480), SVAG (800 x600) , XGA (1024 x 768) และ SXGA มากกว่า 1280 x 1024 คำแนะนำควรเลือกซื้อ ความละเอียดอย่างน้อย SVGA
  • Compress Mode
    โปรเจ็กเตอร์ มักจะมีคุณสมบัตินี้ หมายถึง สามารถแสดงผลในความละเอียดที่ต่ำกว่าได้ เช่น ความละเอียดของโปรเจ็กเตอร์ 800 x 600 สามารถแสดงผลในความละเอียดต่ำ 640 x 480 ได้ เป็นต้น
  • จำนวนสี
    ความสามารถในการแสดงสี (มีลักษณะคล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์)
  • Aspect ratio
    อัตราส่วนระหว่าง จำนวนจุดในแนวตั้ง กับ จำนวนจุดในแนวนอน ตัวอย่างเช่น ratio 4:3 เป็นต้น
  • ความสว่าง หรือ Brightness
    โดยจะมีหน่วยเป็น Ansi Lumen ถ้ายิ่งมาก จะสามารถแสดงภาพในห้องที่เปิดไฟได้ (ไม่จำเป็นต้องหรี่ไฟมาก ทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา สามารถจดข้อความต่างๆ ได้สะดวก) ตัวอย่าง ความสว่างที่เลือกใช้ เช่น 1000, 1200, 1800, 2000, 3000?Ansi Lumens เป็นต้น ยิ่งความสว่างมากเท่าใด ก็จะแสดงผลได้ดีมากยิ่งขึ้น

นอกจากปัจจัยดังกล่างข้างต้น รายละเอียดอื่นๆ ที่อาจตรวจสอบอีกก่อนซื้อ เช่น อายุการใช้งานของหลอดภาพ การปรับแก้ไขหน้าจอ (คางหมู) รีโมทคอนโทรลสามารถทำเป็น Pointer ได้หรือไม่ นอกจากนี้ รีโมทคอนโทรลบางรุ่น สามารถสั่งให้กดปุ่มที่คอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย เป็นต้น

เทคโนโลยีใหม่ๆ ของ LCD Projector ที่ควรทราบ

  • Air Shot - Sony จากค่ายโซนี่ Air Shot เป็นเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ กับ LCD Projector สร้างความสะดวกให้อย่างมากในการใช้งาน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องต่อสายเข้ากับ LCD Projector โดยตรง อย่างไรก็ตาม อาจมีปัญหาในเรื่องของความล่าช้าล้างเล็กน้อย

  • ปิดเครื่องทันที หลังใช้งาน โดยปกติแล้วการใช้งาน LCD Projector จะเกิดความร้อนอย่างมากกับหลอดภาพ และห้ามปิดเครื่องทันทีหลังการใช้งาน เพราะจะทำให้หลอดภาพเสียได้ ราคาหลอดภาพก็ค่อนข้างแพงเอามากๆ? ทาง Sony ได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้จึงได้มีการพัฒนา LCD Projector รุ่นใหม่ๆ ของ Sony ให้สามารถปิดเครื่องได้ทันทีหลังเลิกใช้งาน ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

  • Remote Mouse เป็นคุณสมบัติในการช่วยในการควบคุมการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของ wireless โดยแทนที่จะกดผ่านทางคอมพิวเตอร์โดยตรง ก็สามารถกดผ่าน Mouse ที่เป็น remote แทน - LCD Projector หลายๆ ยี่ห้อมักมีคุณสมบัตินี้

  • Keystone correction เป็นคุณสมบัติในการแก้ไขปัญหาของการแสดงภาพบนจอ ที่มีลักษณะเอียง ซึ่งจะช่วยให้ภาพที่แสดงบนจอภาพมีลักษณะเป็นแนวตรงกับจอ ดูง่าย ชัดเจนมากยิ่งขึ้น - LCD Projector หลายๆ ยี่ห้อมักมีคุณสมบัตินี้

?

Menu